|
ทัวร์เวียดนาม ที่ระบุวันเดินทางเอาไว้ให้ ไม่ว่ารถ หรือ เครื่องบิน
ทัวร์เวียดนามกลาง รายการทัวร์ทั้งหมด
ทัวร์เวียดนามใต้ โปรแกรมทัวร์ทั้งหมด
การจองทัวร์เวียดนาม / การติดต่อ / สอบถาม / Msn / Email
โปรแกรมทัวร์ฮานอย 4 วัน ที่ ฮานอย เวียดนามเหนือ
NV 4/1 - ทัวร์ฮานอย-ฮาลองเบย์-ฮาลองบก (NINH BINH ) พักฮาลอง / 1, ฮานอย / 2
NV 4/2 - ทัวร์ฮานอย-ฮาลองเบย์-ฮาลองบก (NINH BINH ) พัก ฮาลอง / 1, NINH BINH / 1, ฮานอย / 1
NV 4/3 - ทัวร์ฮานอย-ฮาล่องเบย์ -เจดีย์หอม-City Tour
NV 4/4 - ทัวร์ฮานอย-ฮาล่องเบย์ -เจดีย์หอม-City Tour อีกแบบ
NV 4/5 - ทัวร์ฮานอย - ซาปา - City Tour
NV 4/6 - ทัวร์ฮานอย - ถ้ำพองยา (มรดกโลก) - City Tour
NV 4/7 - ทัวร์ฮานอย-เดียนเบียนฟู - ล่องอ่าวฮาลองเบย์ - City Tour ( เต็มสูตรครบเครื่อง )
NV 4/8 - ทัวร์ฮานอย-เดียนเบียนฟู - ฮาลองบก - City Tour
NV 4/9 - ทัวร์ฮานอย-เดียนเบีบนฟู-ล่องอ่าวฮาลองเบย์
NV 4/10 - ทัวร์ฮานอย-เดียนเบีบนฟู- ( สูตรทั่วไป ) เน้นฮานอย
NV 4/11 - ทัวร์ฮานอย-ฮอยอัน รถไฟนอนแอร์ / เครื่องบิน
NV 4/12 -ทัวร์ฮานอย-ฮาลองเบย์ ( เช้ากลับเช้า )
NV 4/13 - ฮานอย-ซาปา-ฮาลองบก นิงห์บิงห์ ( เช้ากลับเช้า ) เหมาะกับคนที่เคยไปฮานอยมาแล้ว
NV 4/14- ฮานอย-ฮาลองเบย์-ฮาลองบก ( เช้ากลับเช้า )
- แจกฟรี! หมวกแก๊ปสีแดงดาวเหลือง
- แซ่บเวอร์! ขนมปังฝรั่งเศส (บาเก็ท)
- เสิรฟไม่อั้นกาแฟเวียดนาม G7,ไมโล **บริการบนรถตลอดการเดินทาง**
- บริการชุด “อ่าวหญ๋าย” ใส่ถ่ายรูป ตลอดการเดินทาง
- บริการเบียร์สด & ไวท์ Dalat แบบไม่อั้น ณ เมืองฮาลอง
พิมพ์โปรแกรมทัวร์เวียดนามเหนือ
ทัวร์เวียดนาม โปรแกรมนอกเหนือจากนี้ ที่ระบุวันเดินทางเอาไว้
การจองทัวร์เวียดนามเหนือ / การติดต่อ / สอบถาม / Msn / Email
รายละเอียดการท่องเที่ยวเวียดนาม
วันแรก กรุงเทพฯ–ฮานอย-ฮาลอง–ช้อปปิ้ง NIGHT MARKET
10.30 |
คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ผู้โดยสารขาออก เคาน์เตอร์ Q ประตู 7 เจ้าหน้าที่ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ท่าน |
13.15 |
เหินฟ้าสู่ ฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 834 |
15.10 |
เดินทางถึง สนามบินนอยไบ กรุงฮานอย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง นำท่านเดินทางข้ามแม่น้ำแดง แม่น้ำสายลอยฟ้าที่อยู่สูงกว่าตัวเมือง จากนั้นนำท่านเดินทางกลับสู่ ตัวเมืองฮานอย มีความหมายว่า “เมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่าน” ซึ่งหมายถึงแม่น้ำแดงที่ไหลผ่านตัวเมืองฮานอย อันเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี นำท่านเดินทางสู่ เมืองฮาลอง ดินแดนแห่งมังกรหลับใหลตั้งอยู่ใน จังหวัดกว่างนิงห์ซึ่งจังหวัดนี้จะมีพรมแดนร่วมกับจีนทางทิศเหนือ ซึ่งได้รับสมญานามว่า กุ้ยหลินเวียดนาม (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) โดยรถโค้ชปรับอากาศ ระยะทางประมาณ 165 กิโลเมตร ให้ท่านสัมผัสบรรยากาศข้างทาง ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่การเกษตรกรรมและนาข้าวเขียวขจี ระหว่างทางแวะชมศูนย์หัตถกรรมของคนพิการเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองมากมายเป็นการอุดหนุนช่วยเหลือผู้พิการเหล่านี้ |
ค่ำ |
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร พิเศษ!! เสริฟท่านด้วยไวน์ท่องถิ่นอันเลืองชื่อของเวียดนาม จากนั้นอิสระช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกที่ ตลาดกลางคืน NIGHT MARKET ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการต่อรองสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า หรือสินค้าพื้นเมืองต่างๆมากมาย |
ที่พัก |
เข้าสู่ที่พัก ณ เมืองฮาลอง NEW STAR HOTEL หรือเทียบเท่า |
วันที่สอง // ฮาลอง – ล่องเรืออ่าวฮาลอง – ถ้ำนางฟ้า – เมืองนิงห์บิงห์
เช้า |
รับประทานอาหารเช้า ในห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ท่าเรือ เพื่อล่องเรือชมความงดงามของ อ่าวฮาลองเบย์ หรือ ฮาลองเบย์ นั้นตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ได้กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง เชิญท่านสัมผัสจากความงดงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง จนทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์การยูเนสโก้เมื่อปี พ.ศ. 2537 สัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ได้แต่งแต้มด้วยเกาะหินปูนรูปร่างแปลกตานับพันเกาะ สลับซับซ้อนเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ผ่านเกาะต่างๆ ที่มีรูปร่างแปลกตา ลักษณะทั่วไปของอ่าวฮาลองนั้นประกอบไปด้วยเกาะเล็ก เกาะน้อยจำนวนกว่า 1,000 เกาะ และมีเนื้อที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวตังเกี๋ยของทะเลจีนใต้ นำท่านเข้าชม ถ้ำนางฟ้า ชมหินงอกหินย้อยต่างๆ ภายในถ้ำ ที่ประดับตกแต่งด้วยแสงสีสวยงาม หินแต่ละก้อนจะมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ตามแต่ท่านจินตนาการ ชม กระชังปลา ของชาวประมงโดยจะสร้างแพและกะชังไว้สำหรับเลี้ยง กุ้ง หอย ปู ปลา เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้ออาหารทะเลสดๆได้จากที่นี่ |
เที่ยง |
บริการอาหารกลางวัน บนเรือ (อาหารซีฟู๊ด) พร้อมทั้งชมทัศนียภาพของอ่าวฮาลอง |
บ่าย |
ถึงท่าเรือฮาลอง นำท่านเดินทางสู่ เมืองนิงห์บิงห์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองฮานอย เป็นจังหวัดที่มีความพิเศษทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือ มีพื้นที่ที่เป็นที่ชุ่มน้ำ ในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล จนพื้นที่นั้นถูกเรียกว่า “อ่าวฮาลองบนแผ่นดิน หรือ ฮาลองบก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) |
เย็น |
รับประทาน อาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ณ เมืองนิงห์บิงห์ YEN NHI HOTEL หรือเทียบเท่า |
|
|
|
|
|
|
วันที่สาม / นิงห์บิงห์ – ล่องเรือฮาลองบก – ถ้ำตำก๊อก – ฮานอย – ทะเลสาบคืนดาบ วัดหง๊อกเซิน - ช้อปปิ้งถนน 36 สาย - โชว์หุ่นกระบอกน้ำ
เช้า |
รับประทานอาหารเช้า ในห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่าน ล่องเรือพายล่องไปตามคลอง ซึ่งสองข้างทางโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน ชมทิวทัศน์ อันงดงามเขียวขจีและบรรยากาศอันแสนสดชื่น ระหว่างทางไปชมถ้ำต่าง ๆ จะผ่านนาข้าว ซึ่งมีอยู่ทั้งสองข้างทาง จากนั้นนำท่านชม ถ้ำตำก๊อก เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยอันน่ามหัศจรรย์ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความลึกของเทือกเขา ภูเขาและทะเลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ที่นี่มีภูมิประเทศที่ราวกับภาพวาด จากนั้นสมควรแก่เวลานำท่านเดินทางกลับสู่ เมืองฮานอย |
เที่ยง |
ทานอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร |
บ่าย |
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ฮานอย แล้วนำท่านข้าม สะพานแสงอาทิตย์ สู่กลางทะเลสาบชม วัดหง๊อกเซิน วัดโบราณซึ่งภายในประกอบด้วยศาลเจ้าโบราณ และเต่าสต๊าฟขนาดใหญ่ซึ่งมีความเชื่อวาเต่าตัวนี้คือเต่าศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 ตัวที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาเป็นเวลาช้านาน จากนั้นนำท่านชม ทะเลสาบคืนดาบ เป็นทะเลสาบใจกลางเมืองฮานอย แล้วให้ท่านอิสระช้อปปิ้ง ถนน 36 สาย ซึ่งมีสินค้าราคาถูกให้ท่านได้เลือกสรรมากมาย กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า ของที่ระลึกต่างๆ จากนั้นนำท่านชม การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่มีชื่อเสียง ท่านจะได้ชมเรื่องราวความรักในเทพนิยาย ความเป็นธรรมชาติ และวิถีชาวบ้าน เช่น การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยวพืชผล การตกปลา การแข่งเรือ โดยใช้หุ่นกระบอกน้ำทั้งสิ้น |
เย็น |
บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ณ เมืองฮานอย DELIGHT HOTEL หรือเทียบเท่า |
ที่พัก |
DELIGHT HANOI HOTEL 3*หรือเทียบเท่า |
วันที่สี่ / ฮานอย – สุสานลุงโฮฯ – ทำเนียบรัฐบาล – บ้านพักลุงโฮฯ - วัดเจดีย์เสาเดียว วิหารวรรณกรรม – กรุงเทพฯ
เช้า |
รับประทานอาหารเช้า ในห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม สุสานลุงโฮ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1973ชมร่างของรัฐบุรุษอาวุโสอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งได้รับการอาบน้ำยาเป็นอย่างดีอยู่ในโลงแก้วภายในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิคงที่ ชมบ้านพักที่อยู่อาศัยของท่านอดีตประธานธิบดีโฮจิมินห์ซึ่งครั้งหนึ่งใช้เป็นศูนย์บัญชาการในสงครามเวียดนาม จากนั้นชม วัดเจดีย์เสาเดียว One Pillar Pagoda ที่มีอายุกว่า 400 ปี เป็นเจดีย์ไม้ที่มีความงดงามมาก ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัวเป็นที่เคารพสักการะของชาวเวียดนามมาแต่โบราณ นำท่านชม วัดแห่งวรรณกรรม วัดโบราณ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและเป็นสถานที่ใช้สอบจองหงวนในสมัยโบราณ ภายในวัดประกอบด้วยป้ายหินประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านเป็น จองหงวน และมี ศาลเทพเจ้าขงจื้อ และสานุศิษย์ ปัจจุบันเป็นวัดที่นักเรียนนักศึกษาเวียดนามมาขอพรในการสอบ |
เที่ยง |
ทานอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร พิเศษ !!! อาหารแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติ กว่า 200 ชนิด
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ สนามบินนอยไบ เพื่อเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ |
16.35 |
เหิรฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 835 |
18.25 |
ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ
*** สิ้นสุดการเดินทางโดยสวัสดิภาพและ ประทับใจ |
โปรแกรมและรายละเอียดของการเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะอากาศ และเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าโดยทางบริษัทฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์และความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทางเป็นสำคัญ
จบรายการทัวร์
พิมพ์โปรแกรมทัวร์เวียดนามเหนือ
ทัวร์เวียดนาม โปรแกรมนอกเหนือจากนี้ ที่ระบุวันเดินทางเอาไว้
การจองทัวร์เวียดนามเหนือ / การติดต่อ / สอบถาม / Msn / Email
รายละเอียดการท่องเที่ยวเวียดนาม
อัตราค่าบริการและเงื่อนไขรายการท่องเที่ยว
กำหนดการเดินทาง |
ผู้ใหญ่
ห้องละ 2-3 ท่าน |
1 เด็ก 2 ผู้ใหญ่ เด็กมีเตียง |
1 เด็ก 2 ผู้ใหญ่
เด็กไม่มีเตียง |
พักเดี่ยว
เพิ่ม |
13-16 ม.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
21-24 ม.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
28-31 ม.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
12-15 ก.พ.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
19-22 ก.พ.59 |
15,999 |
15,999 |
15,999 |
4,000 |
20-23 ก.พ.59 |
15,999 |
15,999 |
15,999 |
4,000 |
03-06 มี.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
11-14 มีค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
17-20 มี.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
24-27 มี.ค.59 |
13,999 |
13,999 |
13,999 |
4,000 |
01-04 เม.ย.59 |
14,999 |
14,999 |
14,999 |
4,000 |
อัตรานี้รวม
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ – ฮานอย – กรุงเทพ โดยสายการบินเวียดเจท
- ค่าที่พักโรงแรมระดับ 3 ดาว รวมทั้งสิ้น 3 คืน
- ค่าอาหารครบทุกมื้อตลอดรายการ
- ค่ารถรับ-ส่งสนามบิน และ รายการทัวร์ตลอดรายการ
- อัตราค่าเข้าชมสถานที่ที่ระบุไว้ในรายการ
- ประกันภัยในการเดินทาง ในกรณีที่ เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ จะคุ้มครองเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท (คุ้มครอง ผู้เอาประกันภัย อายุระหว่าง 15-75 ปี ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือ ระหว่าง 75-85 ปี คุ้มครอง 50 % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์ / ส่วนในกรณี ผู้เอาประกันภัยอายุสูงกว่า 85 ปี ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการคุ้มครอง)
- ค่าระวางน้ำหนัก 20 กิโลกรัม
อัตรานี้ไม่รวม
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3 %
- ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ไม่ระบุไว้ในรายการ
- ทิปมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและคนขับรถ 3 USD/คน /วันทิปหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย (ตามแต่ความพอใจในการบริการของลูกค้า) ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือ ค่าใช้จ่ายอื่น ที่ไม่ได้ระบุไว้ในโปรแกรม
- ค่าวีซ่าของชาวต่างชาติไม่ใช่คนไทย
เงื่อนไขการจองทัวร์
- กรุณาวางเงินมัดจำ ท่านละ 5,000 บาท หลังจากที่ได้ทำการจอง และที่นั่งจะถูกยืนยันเมื่อได้รับค่ามัดจำแล้วเท่านั้น
- หลังจากชำระค่ามัดจำแล้ว สามารถเปลี่ยนชื่อผู้เดินทางได้ ก่อนที่บริษัทฯ จะทำการออกตั๋วล่วงหน้า 1-2 อาทิตย์ก่อนการเดินทาง
กรณียกเลิก
- ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30 วันขึ้นไป คืนเงินทั้งหมด
- ยกเลิกก่อนการเดินทาง 15-29 วัน เก็บค่าใช้จ่าย ยึดเงินมัดจำทั้งหมด ในทุกรณี
- ยกเลิกก่อนการเดินทาง 7 – 14 วัน เก็บค่าใช้จ่าย 50% ของราคาทัวร์ในทุกกรณี
- ยกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 1 – 6 วัน เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมด 100 % ของราคาทัวร์ในทุกรณี
หมายเหตุ
- บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการในทัวร์นี้ เมื่อเกิดเหตุจำเป็นสุดวิสัยจนไม่อาจแก้ไขได้ และจะไม่รับผิดชอบใดๆ ในกรณีที่สูญหาย สูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บที่นอกเหนือความรับผิดชอบของหัวหน้าทัวร์ และเหตุสุดวิสัยบางประการ เช่น การนัดหยุดงาน ภัยธรรมชาติ การจลาจล ต่างๆ
- เนื่องจากรายการทัวร์นี้เป็นแบบเหมาจ่ายเบ็ดเสร็จ หากท่านสละสิทธิ์การใช้บริการใดๆตามรายการ หรือ ถูกปฏิเสธการเข้าประเทศไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินในทุกกรณี
- เมื่อท่านได้ชำระเงินมัดจำหรือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการชำระผ่านตัวแทนของบริษัทฯ หรือชำระโดยตรงกับทางบริษัทฯ ทางบริษัทฯ จะขอถือว่าท่านรับทราบและยอมรับในเงื่อนไขต่างๆ
- กำหนดการเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เพื่อความเหมาะสม ทั้งนี้ทางบริษัทฯ จะยึดถือผลประโยชน์ ตลอดจนความปลอดภัยของคณะผู้เดินทางเป็นสำคัญ
- ทางบริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบใดๆ ในกรณีที่ท่านถูกปฏิเสธเข้าเมือง โดยด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศไทยและเวียดนาม
- สำหรับ ผู้โดยสาร ที่ไม่ได้ถือ PASSPORT ไทย หรือ PASSPORT ต่างด้าว ผู้โดยสารต้องรับผิดชอบเรื่องเอกสาร (VISA) หรือ การแจ้งเข้าแจ้งออกประเทศไทยเอง ทางบริษัทฯ ทัวร์ จะไม่รับผิดชอบในกรณี ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทยปฏิเสธในการเข้าและออกจากประเทศ
- การท่องเที่ยวประเทศเวียดนามนั้นจะต้องมีการเข้าชมสินค้าของทางรัฐบาล เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวดังกล่าว คือ ร้านยา, ร้านมุก, ร้านขนม ฯลฯ หากท่านใดไม่เข้าร้านดังกล่าวจะต้องจ่ายค่าทัวร์เพิ่ม ทางบริษัทฯ จะขอถือว่าท่านรับทราบและยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว
- ขอสงวนสิทธิ ราคาพิเศษ สำหรับ จำนวนผู้เดินทาง 20 ท่านขึ้นไป ออกเดินทางได้แน่นอน ถ้าจำนวนผู้เดินทาง 15 - 20 ท่าน ทางบริษัทฯ ออกเดินทาง แต่จะไม่มีหัวหน้าทัวร์จากเมืองไทยไปกับกรุ๊ปด้วยแต่จะมี ไกด์ท้องถิ่น ที่พูดภาษาไทยได้ คอยรับที่สนามบินเวียดนาม และ จะคอยบริการทุกท่าน ตลอดการเดินทางที่ประเทศเวียดนามเป็นอย่างดี แต่ถ้าต่ำกว่า 15 ท่าน ทางบริษัท ของสงวนสิทธิไม่ออกเดินทางในกรุ๊ปนั้น
หนังสือเดินทางต้องมีอายุเหลือใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง
และมีหน้าที่เหลือไว้ประทับตราไม่น้อยกว่า 2 หน้า
** กรณี ถือหนังสือเดินทางต่างชาติ โปรดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม **
ในกรณีที่ผู้โดยสาร มีไฟล์ทเดินทางภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับวันเดินทางที่ท่านได้ทำการจองไว้กับทางบริษัทฯ กรุณาแจ้งให้กับทางเจ้าหน้าที่ทราบ ก่อนการชำระเงินค่าตั๋วดังกล่าว ถ้าเกิดข้อผิดพลาด ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับผิดชอบทุกกรณี
Date :
Name: |
|
Tel: |
MB: |
Address : |
|
|
E-mail |
|
|
|
|
Tour Code: |
|
Program : |
|
Airline: |
Period: |
No of Room : |
|
Price: |
Pax : |
Adult : |
CHD wz Bed :
DHD w/o Bed : |
Name of Passenger (ระบุเป็นภาษาอังกฤษ ตรงกับหน้าหนังสือเดินทาง )
NO |
Status |
Name |
Family Name |
Date of Birth |
Member No. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Special Request
การชำระเงิน :
มัดจำล่วงหน้า ท่านละ 5,000 บาท
ส่วนที่เหลือ ชำระให้หมดก่อน 25 วัน ของวันออกเดินทาง
โอนมาที่ ธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง ในบัญชีกระแสรายวัน ในนาม สมปอง เจนชัยจิตรวนิช
ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขา สี่แยกวังหิน เลขที่บัญชี 2140013280
ธนาคาร กสิกรไทย สาขา รัชดา-ห้วยขวาง เลขที่บัญชี 089-1069251
หรือ โอนมาที่ ธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง ในบัญชีออมทรัพย์ ในนาม สมปอง เจนชัยจิตรวนิช
ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขาตลาดถนอมมิตร วัชรพล เลขที่บัญชี 479-1-08508-1
ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขาย่อย เซ็นทรัลปิ่นเกล้า บัญชี ออมทรัพย์ เลขที่ 183-2 10718-9
ธนาคาร กรุงเทพ สาขาย่อย เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 095-0-20209-3
ธนาคาร กสิกรไทย สาขาซอย วัชรพล บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 796-2-09343-9
- สมปอง ทัวร์ /
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว เลขที่ 11 / 05588
- Website : www.programtour.com
- Email : jenchai624@hotmail.com
- Chat : msn : jenchai624@hotmail.com
- Chat : Skype : jenchai624
- Chat : Line : ID : 0899246304
- Office 1 : ประเทศไทย : 02-8867018-9 (ตลิ่งชัน)
- Office 2 : ประเทศไทย : 02-9481866 (รามอินทรา )
- Mobile : มือถือ ไทย : 089-9246304, 087-5149753,
- Mobile : มือถือ เวียดนาม : 091-6003612
|
ทัวร์เเวียดนามเหนือ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนามเหนือ
ประวัติบางส่วนของเวียดนาม
ก่อนจะพูดถึงฮานอย อันเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม เรามารู้จักเวียดนามกันสักหน่อย ถ้าดูตามแผนที่ เราจะเห็นว่าเวียดนามมีรูปร่างคล้ายตัวเอส “S” ขนาดใหญ่
ยาวเหยียด กินเนื้อที่ไปตามความยาวของคาบสมุทรอินโดจีน จำนวนประชากรในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ มีประมาณ ๘๐ กว่าล้านคน นับเป็นอันดับที่ ๑๔ ของโลก
พลเมืองประกอบด้วยหลายชนชาติถึง ๕๔ ชนชาติ ส่วนใหญ่เป็นชนชาติกิงห์ (Kinh) นอกนั้นก็เป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายต่างๆ
ภาษาที่ใช้คือ ภาษาเวียดนาม ซึ่งเป็นการผสมผสานจากภาษาจีน ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย โดยมีตัวอักษรที่เรียกว่า กว๊อก หงือ (Gnoe ngn )เป็นภาษาเขียนประจำชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๖๒ ซึ่งคิดโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสชื่อ Alexandre de Rhader
ดังนั้น แม้เราจะเห็นตัวอักษรของเวียดนามคล้ายๆ A B C D แต่บางตัวก็จะมีหมวก หรือมีขีดซ้ายบ้าง ขีดขวาบ้างอยู่บนหัว
ทำให้อ่านแบบภาษาอังกฤษทั่วไปไม่ได้ ต้องอ่านตามหลักของเขาเอง เช่น CHO’ อ่านว่า จ๋อ แปลว่า หมา เป็นต้น
ส่วน เงิน เวียดนามของที่นี่จะเรียกว่า “ด่อง” แต่เวลาฟังคนเวียดนามพูดจะออกเสียงเป็น “โด่ง” มากกว่า “ด่อง” ที่คุ้นหูคนไทย
อัตราแลกเปลี่ยนตอนเราไปคือ ๑ บาทประมาณ ๔๐๐ ด่อง เรียกว่าแลกทีเป็นเศรษฐีเงินล้านเลยทีเดียว และที่สะดวกคือ เมืองท่องเที่ยวที่เราไปรับเงินไทยด้วย
คนที่นี่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน กระแสไฟฟ้าก็เป็นระบบเดียวกับเราคือ ๒๒๐ โวลต์ ๕๐ วัตต์
(ถ้าไปตามโรงแรมใหญ่ๆ คุณสาวๆไม่ต้องเอาไดร์เป่าผมไป เพราะเขามีให้อยู่แล้ว)
คำว่า “เวียดนาม” นี้ เล่ากันว่าปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในสมัยพระเจ้ายาลอง กษัตริย์เวียดนาม ในต้นศตวรรษที่ ๑๙
โดยพระองค์ส่งราชทูตไปทูลขอพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้จีน
เพราะขณะนั้นจีนยังมีอำนาจเหนือเวียดนามอยู่ โดยแต่เดิมจะตั้งชื่อว่า “นามเวียด”
โดยนำชื่อดังกล่าวมาจากการรวมดินแดน เก่าชื่อ อันนาม และดินแดนใหม่ชื่อ เวียดเทือง เข้าด้วยกัน
แต่เมื่อฮ่องเต้จีนทรงปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนาง ก็ทรงตัดสินว่า ชื่อ นามเวียด อาจจะทำให้นึกถึงอาณาจักรเก่าแก่ที่ชื่อ นามเวียดดอง
ซึ่งรวมเอาดินแดนของจีนเข้าไปด้วยถึงสองมณฑล
ดังนั้น เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และกันการแอบแฝงความปรารถนาในดินแดนดังกล่าว เลยให้เปลี่ยนเป็น “เวียดนาม” ซึ่ง เวียด หมายถึง คน และ นาม แปลว่า ใต้
ซึ่งนัยก็คงหมายถึงคนที่อพยพจากดินแดนทางเหนือ (จีน) มาตั้งถิ่นฐานทางใต้ก็เป็นได้ หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง
และถูกแบ่งแยกดินแดนเป็นเวียดนามเหนือและใต้บ้าง ปัจจุบันเวียดนามได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. ๒๕๑๙
และมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าประเทศ “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
เมื่อคณะเราเดินทางมาถึงฮานอย เมืองหลวงซึ่งอยู่ทางเหนือของเวียดนาม พวกเราก็นั่งรถโค้ชเลยต่อไปยังโรงแรมที่พัก ในฮาลองเบย์
เมืองตากอากาศทางทะเล ของเวียดนาม ที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของเวียดนามทันที ระหว่างเดินทาง สิ่งหนึ่งที่คิดว่าหลายคนจะเกิดความประทับใจต่อภาพที่ได้เห็น
ที่ดูเหมือนได้มองย้อนภาพไปในอดีต คือ สองข้างที่เราผ่านเต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี ที่ชาวนาเวียดนามกำลังดำนาปักกล้ากันอย่างขะมักเขม้น
โดยเฉพาะการช่วยกัน “ลงแขก” ที่หมายถึง ผลัดกัน ช่วยกันรุมกันทำนาของเพื่อนบ้าน แต่คำนี้ในบ้านเราได้กลายเป็นศัพท์สแลงหมายถึง ช่วยกันรุมทำ
มิดีมิร้ายหญิง (ซึ่งจริงๆ คือ มิดี มากกว่า มิร้าย นั่นแหละ) ซึ่งภาพการทำนาสองฟากทางเช่นนี้ ในบ้านเรากำลังจะเลือนหายไปทุกทีๆ และกลับกลายเป็นภาพโรงงานเข้ามาแทนที่
ขณะที่นั่งรถชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ฟังไกด์ท้องถิ่น คือ คุณถัง บรรยายไป เพลินไปนั้น พวกเราก็เกิดความรู้สึกตรงกันขึ้นมาว่า ทำไม๊ ทำไม รถถึงได้แล่นเอื่อยๆ เฉื่อยฉิวนัก
คล้ายจะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ทั้งๆ ที่ถนนหนทางในเวียดนามเท่าที่สังเกต ก็เรียกว่าใช้ได้ดีทีเดียว นี่ถ้าเป็นพี่ไทยขับ ป่านนี้วิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
คุณถังก็เลยเฉลยสาเหตุให้ฟังว่า การที่ขับเช่นนี้ ก็เพราะทางการเวียดนามเขากำหนดความเร็วให้รถวิ่งได้ไม่เกิน 60 กม./ชม.บนทางหลวง
และถ้าเป็นเขตชุมชนจะวิ่งได้แค่ 30 กม./ชม. ดังนั้น นักซิ่งหรือพวกใจร้อนทั้งหลายในบ้านเรา นั่งรถที่นี่แล้ว จึงรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
เพราะระยะทางไม่ไกล แต่ต้องใช้เวลาเดินทางนานเหลือเกิน และคนที่นี่ก็ไม่กล้าละเมิดกฎระเบียบด้วย เพราะนอกจากจะต้องเสียค่าปรับแพงแล้ว
ถ้าใบขับขี่ถูกเจาะ 3 รู หมายถึงผิดมา 3 ครั้งก็จะถูกยึด และที่คนเขากลัวนักกลัวหนา คือ เขาไม่ขังคน แต่จะ “ขังรถ” คือ ยึดรถไปโรงพัก 15 วัน
ทำให้ทำมาหากินไม่ได้ คนของเขาก็เลยไม่ค่อยทำผิดกฎกัน และเพราะเขาขับด้วยความเร็วที่ว่านี้เอง ทำให้เวลาเดินข้ามถนน
โดยเฉพาะในฮานอยที่รถราคับคั่ง มีรถมอเตอร์ไซด์เต็มไปหมด คนไทยเดินแล้วให้เสียวไส้ หลบไม่ค่อยถูก แต่คุณถังกลับบอกให้หลับตาเดินข้ามได้เลย เพราะคนขับจะขับหลบคุณเอง
ซึ่งก็เป็นจริงด้วย เพราะถ้าดูรถวิ่งไปมา ไม่กล้าข้ามแน่นอน แต่ถ้าหลับหูหลับตาเดินข้ามไป กลับไม่เป็นไร เพราะเขาขับกันไม่เร็วอย่างที่บอก เบรกเบิกกะทันหันก็เลยไม่อันตราย
หลังจากกินอาหารค่ำในโรงแรมที่พักที่เวียดนามแล้ว พวกเราส่วนใหญ่ก็ออกไปกระจายรายได้ และชมสินค้าพื้นบ้านของที่นี่ ซึ่งมีหลายอย่าง นับตั้งแต่กระเป๋าผ้าปักต่างๆ
ผลิตภัณฑ์จากไม้ เช่น ตะเกียบ กล่องใส่ตะเกียบ/ไม้จิ้มฟัน/นามบัตร ตุ๊กตาไม้รูปคน/สัตว์ และสร้อยไข่มุก เป็นต้น สำหรับราคาสินค้านั้นต่อรองได้ และลดได้ถ20-30 %
มีพวกเราได้ถามไกด์ท้องถิ่นอีกคนในเมืองเว้ว่า ซื้อของย่านไหน หรือที่ไหนจึงจะได้ราคาถูก ไกด์ก็ตอบว่า คนไทย ซื้อที่ไหน ก็ถูกทั้งนั้นแหละ แกคงเห็น ต่อรองกันเก่งมาก
ชนิดที่ว่าบางคนต่อของได้ราคา 4 ชิ้นร้อยเดียวแล้ว พออีกคนไปซื้อบ้างต่อได้ 5 ชิ้นร้อย
พอคนสุดท้าย ได้ถึง 6 ชิ้นร้อยก็มี เขี้ยวขนาดนี้ คงไม่ต้องถามแล้ว ว่าซื้อที่ไหนราคาถูก มันถูกไปหมดแหละครับ
วันต่อมา พวกเราก็ขึ้นรถ ไปลงเรือที่อ่าวฮาลองที่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไรนัก เรือที่มารับนักท่องเที่ยว มีลักษณะเป็นเรือสำเภา เท่าที่เห็นน่าจะมีถึงร้อยลำ
แสดงว่ามีนักท่องเที่ยวมามาก แต่ละลำจะจุคนได้ราว ๒๐-๓๐ คน มีสองชั้น หัวเรือเป็นรูปมังกร การบริหารจัดการในการออกเรือและนำเรือเข้าท่าเทียบของที่นี่
ถือว่ายังไม่ดีนัก เพราะยังเบียดเสียดและเข้าจอดกันอย่างไม่เป็นระเบียบ จอดซ้อนลำกันก็มี ทำให้ไม่สะดวกในการขึ้นลง แต่เข้าใจว่าก็ยังคงไม่เป็นปัญหาเท่าไรนัก
มิฉะนั้น เขาคงต้องหาวิธีการแก้ไขแล้ว สำหรับการล่องเรือชมอ่าวฮาลองนี้ มีหลายแบบให้เลือก เช่น จะเป็นแบบล่องเรือทั้งวัน หรือแบบครึ่งวันก็ได้
เพราะมีเกาะและถ้ำให้ลงไปชมหลายแห่ง แต่ที่คณะเราไปคือ แบบครึ่งวัน ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. แล้วกินอาหารกลางวันแบบซีฟู้ดบนเรือ พร้อมแวะให้ชมถ้ำใหญ่ 1 ถ้ำ ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป
อ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นี้ ตั้งอยู่ในจังหวัดกว่างนิงห์ของเวียดนาม เป็นดินแดนที่ได้ชื่อว่างดงามมหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มีเนื้อที่ประมาณ ๑,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะหินปูนน้อยใหญ่กว่า ๑,๙๐๐ เกาะ หลายเกาะก็ยังไม่มีชื่อ และยังมีก้อนหินรูปร่างแปลกๆโผล่พ้นจากทะเล
และมีถ้ำมากมายให้ชม จนทำให้สถานที่แห่งนี้มีมนต์ขลัง และชวนให้ค้นหาลองนึกถึงเวลาล่องเรือในทะเลอันดามัน หรือที่เขื่อนรัชประภาต์ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีบ้านเรา
แล้วถ้าเราชื่นชมกับเกาะเล็กเกาะน้อยที่รายรอบว่าสวยงามมากแล้ว แต่ที่ฮาลองเบย์นี่ ต้องบอกว่าใหญ่โต และมีเกาะให้ดื่มด่ำกับความงดงามได้มากกว่า
โดยเฉพาะเวลามีเรือสำเภาหรือเรือสำปั้นแล่นอยู่บนผิวน้ำ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น
จนองค์การยูเนสโกได้ประกาศ ให้ ฮาลองเบย์เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 250
คำว่า “ฮาลอง” ในภาษาเวียดนามหมายถึง สถานที่ซึ่งมังกรดำดิ่งลงสู่ท้องทะเล ตามตำนานเล่ากันว่า มีมังกรตัวหนึ่งพร้อมบริวารได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือชาวเวียดจากข้าศึกที่มารุกราน
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับใจไม่กลับสวรรค์ และได้กลายร่างเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่ไปทั่ว บ้างก็ว่าหางที่สะบัดไปมาระหว่างทางของมันทำให้เกิดร่องเขาลึกมากมาย
เมื่อมังกรทิ้งตัวลงสู่ทะเล น้ำที่กระฉอกขึ้นมาก็ไหลท่วมท้นไปตามหุบเขา เกิดเป็นยอดเขาสูงนับพันเหนือคลื่น และหน้าผาเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยถ้ำ และถ้ำหลายแห่งก็เกิดหินงอกหินย้อยที่สวยงามมาก
ดังที่พวกเราได้แวะขึ้นไปชมที่เกาะตอไม้ ซึ่งภายใน ถ้ำโดวโก๋ว (Dau Co )ที่เราเข้าไปนั้น ทางการเขาได้จัดไฟเป็นแสงสีต่างๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับหินงอกหินย้อย
ที่มีรูปร่างชวนให้ตั้งชื่อ และจินตนาการไม่น้อย แต่หลายคนอาจจะอยากให้เป็นแบบธรรมชาติเดิมๆ มากกว่า ที่ถ้ำนี้ หินบางก้อนก็ดูราวกับมังกร บางก้อนก็เป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม
มีอยู่ก้อนหนึ่ง มีรูปร่างให้เห็นเป็นเต้านมข้างหนึ่งอย่างชัดเจน ซึ่งไกด์เล่าว่า มีมังกรและหงส์คู่หนึ่งอยู่ด้วยกัน จนมีลูกขึ้นม100 ตัว
ก็(เพิ่ง)คิดได้ว่าทั้งสองต่างธาตุกันคือ เป็นไฟและน้ำ ไม่สามารถอยู่ด้วยกันต่อไปได้ แม่หงส์จึงพาลูกๆ ไปอยู่ในทะเล ๕๐ ตัว ส่วนพ่อมังกรก็พาลูกไปอยู่บนภูเขาอีก 50 ตัว
ด้วยความเป็นห่วงลูก แม่หงส์จึงให้เต้านมข้างหนึ่งแก่พ่อมังกรไว้เลี้ยงลูก ก็คือ เต้านมที่เราเห็นข้างเดียวในถ้ำนี้นี่แหละ (เห็นไหม ความรักของแม่ ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหงส์ ก็อดห่วงลูกไม่ได้)
หลังจากล่องเรือชมความงดงามของเกาะต่างๆ รวมไปถึง เกาะไก่ชน อันเป็นสัญลักษณ์ของฮาลองเบย์แล้ว (เกาะไก่ชนนี้เป็นเกาะเล็กๆ สองเกาะโผล่หันหน้าเข้าหากัน
ชาวเวียดนามว่าเหมือนไก่ชนกัน แต่พวกเราว่าเหมือนไก่หอมแก้มกันมากกว่า) พวกเราก็ออกเดินทางย้อนกลับไปสู่เมืองฮานอย ที่เรายังไม่ได้แวะเข้าตัวเมือง แค่ผ่านชานเมืองเข้าสู่ฮาลองเบย์ในวันแรก
ทัวร์เวียดนามเหนือ กรุงฮานอย เป็นเมืองหลวงของเวียดนามมาตั้งแต่ปี พ.ศ.1553 อันเป็นปีที่จักรพรรดิลีไทโตสถาปนาพระราชวงศ์ทาลอง (ทาลอง หมายถึง มังกรผงาด) ขึ้นในดินแดนแห่งนี้
จึงนับเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่และสวยงามอีกแห่งหนึ่งที่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน คำว่า “ฮา” แปลว่า แม่น้ำ อันหมายถึงแม่น้ำแดง และ “นอย” แปลว่า ข้างใน
ซึ่งรวมความแล้ว จะหมายถึง เมืองบนฝั่งโค้งแม่น้ำ(แดง) เมื่อเวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสนั้น เมืองฮานอยได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยขึ้น
ดังนั้น ลักษณะของเมืองฮานอยจึงสะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนของความก้าวหน้า และประเพณีเดิมที่มีอยู่ มรดกทางสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสในเมืองฮานอย
ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศโรแมนติกต่างจากเมืองหลวงอื่นๆ ของเอเชีย แต่น่าเสียดายว่าผลของสงคราม ความขัดสนทางการเงิน และการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพ
ได้ส่งผลกระทบให้อาคารประวัติศาสตร์ต่างๆ อยู่ในสภาพทรุดโทรมไปมิใช่น้อย อย่างไรก็ดี ความโดดเด่นของเมืองนี้ก็ยังเป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งหลายให้มาเยือนอยู่เสมอ
ณ กรุงฮานอยนี้ คณะของเราได้ไปชม ทะเลสาบคืนดาบ หรือ โฮฮว่านเกี๋ยม ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าของฮานอย ทะเลสาบแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า พระเจ้าเลไทโต
กษัตริย์เวียดนามทรงได้รับดาบวิเศษมาจากเต่าทองตัวหนึ่ง เพื่อใช้ต่อสู้กับราชสำนักหมิงของจีน เป็นเวลาร่วม ๑๐ ปี เมื่อสามารถปลดปล่อยประเทศได้แล้ว
พระองค์ได้ทรงลงเรือถือดาบไปกลางทะเลสาบ และเต่าทองหรือเต่าเทวดาก็ได้ขึ้นมาคาบดาบวิเศษเล่มนั้นคืน พร้อมดำน้ำหายไป จึงเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบแห่งนี้
ซึ่งกลางทะเลสาบยังมีหอคอยที่ชื่อว่า “ทาพ-รัว” ที่แปลว่าหอคอยเต่า อยู่ด้วย และว่ากันว่าเต่าก็ยังคงอาศัยอยู่ในทะเลสาบนี้
และบนเกาะเล็กใกล้หอคอยยังมี วัดหง็อกเซิน หรือ วัดเนินหยก ตั้งอยู่ ที่พวกเราได้เข้าไปชมเช่นกัน โดยเดินข้ามสะพานโค้งสีแดงสดที่มีชื่อว่า เทฮุก หรือ สะพานแสงอาทิตย์
วัดเนินหยกนี้เล่าว่าสร้างโดยผู้กล้าท่านหนึ่งที่สามารถปลดแอกชาวเวียดนามจากมองโกล ซึ่งในวัดก็มีรูปปั้นของท่านตั้งเป็นที่เคารพสักการะอยู่ และยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม และเทพเจ้ากวนอูอยู่ด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีเต่ายักษ์ตัวผู้ตัวหนึ่งที่ถูกสต๊าฟไว้ เต่าตัวนี้เล่ากันว่า ขึ้นมานอนอยู่ที่หอเต่ากลางทะเลสาบ ชาวบ้านเห็นกลัวจะแห้งตาย
จึงช่วยกันเอาลงน้ำ แต่เต่าดังกล่าวก็ยังขึ้นมาใหม่ถึง ๕ ครั้ง ๕ หน และครั้งสุดท้ายก็มานอนตายอยู่ที่หอเต่านี้ ทางวัดจึงนำมาสต๊าฟไว้ให้คนได้ชม
ซึ่งบริเวณใกล้เต่าสต๊าฟยังมีรูปถ่ายเต่าตัวเมียอีกตัวหนึ่ง ที่มีคนเห็นโผล่มาในทะเลสาบเป็นครั้งคราว และมีผู้ถ่ายรูปไว้ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีเต่ายักษ์ตัวผู้ตัวหนึ่งที่ถูกสต๊าฟไว้ เต่าตัวนี้เล่ากันว่า ขึ้นมานอนอยู่ที่หอเต่ากลางทะเลสาบ ชาวบ้านเห็นกลัวจะแห้งตาย จึงช่วยกันเอาลงน้ำ
แต่เต่าดังกล่าวก็ยังขึ้นมาใหม่ถึง 5 ครั้ง 5 หน และครั้งสุดท้ายก็มานอนตายอยู่ที่หอเต่านี้ ทางวัดจึงนำมาสต๊าฟไว้ให้คนได้ชม
ซึ่งบริเวณใกล้เต่าสต๊าฟยังมีรูปถ่ายเต่าตัวเมียอีกตัวหนึ่ง ที่มีคนเห็นโผล่มาในทะเลสาบเป็นครั้งคราว และมีผู้ถ่ายรูปไว้ได้ ในบริเวณใกล้กับทะเลสาบคืนดาบ
อันถือว่าเป็นเขตเมืองเก่า มีสถานที่ที่นักช้อปทั้งหลายสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือ ส่วนที่เรียกว่า ถนน 36 สาย ที่เป็นซอยเล็กซอยน้อยอันเป็นที่ตั้งของร้านขายสินค้าที่มีอยู่มากมาย
แต่ละตรอกแต่ละซอยก็จะขายสินค้าแบบหนึ่งๆ เช่น ตรอกนี้ขายกระเป๋า ซอยโน้นขายรองเท้า ถนนนั้นขายเครื่องไม้ เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมเขาบอกว่าจะขายกันตามชื่อถนนจริงๆ
เช่น ถนนเครื่องเงินก็จะขายแต่เครื่องเงิน แต่ปัจจุบันพ่อค้ารุ่นใหม่มักจะเน้นขายสินค้าฝีมือเฉพาะทาง แต่ตัวสินค้าไม่จำเป็นต้องเข้ากับชื่อถนนอีกต่อไป
หลังจากไปเที่ยวทะเลสาบแล้ว คณะของเราส่วนใหญ่ก็ได้นั่งรถสามล้อถีบที่เรียกว่า “ไซโคล” ชมถนน 36 สายที่ว่าก่อน เป็นการชิมลางดูว่ามีสินค้าอะไรขายบ้าง
เพราะหากลงเดิน คงไม่มีเวลาพอ อีกทั้งยังต้องเตรียมตัวไปชมการแสดงหุ่นน้ำในค่ำคืนนี้อีก อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพวกเราบางส่วน
ขอเดินช้อปปิ้งบริเวณรอบๆ พอหอมปากหอมคอเป็นการซ้อมมือ เพราะวันสุดท้ายของการเดินทาง จะมีรายการให้ละลายเงินโด่งที่เหลือ ณ บริเวณนี้อีกครั้งก่อนเดินทางกลับ
พูดถึงสามล้อถีบเวียดนามจะต่างกับบ้านเรา ในบ้านเราคนถีบจะอยู่ด้านหน้า คนนั่งอยู่หลัง แต่ที่นี่จะกลับกัน คือ คนนั่งอยู่หน้า คนถีบอยู่หลัง เคยคิดเล่นๆ ว่า
ที่เป็นแบบนี้ คงเป็นเพราะหากเกิดอะไรขึ้น คนนั่งจะได้รับไปเต็มๆ ก่อน แต่โดยความจริงแล้ว ไกด์บอกว่า สมัยก่อนสามล้อถีบเขาก็เป็นแบบบ้านเราแหละ
แต่พอฝรั่งเศสมายึดครอง ก็เปลี่ยนใหม่ ให้เป็นอย่างที่เห็นเพราะพวกฝรั่งคงจะมิได้นั่งสามล้อเพียงเพื่อเป็นพาหนะอย่างเดียว แต่คงต้องการนั่งกินลมชมวิวไปด้วย
ดังนั้น คนนั่งหากอยู่หลัง ก็ได้แต่เห็นก้นคนถีบ จะมองทัศนียภาพข้างทางก็คงไม่ถนัด
ก็เลยบังคับให้ที่นั่งคนถีบไปอยู่ข้างหลังแบบที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน หาใช่เป็นเจตนาร้ายของคนถีบอย่างเราเคยเข้าใจไม่
ทัวร์เวียดนาม ชมหุ่นกระบอกน้ำ ที่ฮานอย
เมื่อกินอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะทั้งหมดก็กลับมายังโรงละครหุ่นน้ำ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับทะเลสาบคืนดาบ โรงละครแห่งนี้ ก็คล้ายๆ กับโรงหนังบ้านเรา
เพียงแต่แทนที่ด้านหน้าจะเป็นจอหนัง ก็กลายเป็นสระน้ำประมาณว่า น้ำสูงประมาณครึ่งตัวของผู้ที่ชักหุ่นอยู่หลังฉาก โดยมีนักดนตรีเล่นดนตรี และผู้พากย์สดอยู่บนเวทียกพื้นด้านข้างๆ
การแสดงจะเป็นเรื่องวิถีชีวิตชาวเวียดนาม เช่น การทำเกษตรกรรม การจับปลา ตำนานเรื่องทะเลสาบคืนดาบ เป็นต้น
ความน่าดูของหุ่นน้ำ คือ ความแปลกของการชักหุ่น ที่ว่า แทนที่จะชักหรือเชิดหุ่นบนบกหลังฉาก ผู้ชักกลับอยู่ในน้ำ ซึ่งหากเราฟังเพลงหรือเสียงพากย์ออก ก็คงจะออกอรรถรสยิ่งกว่านี้
การแสดงของเขาจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก่อนเข้าชมเขาจะมีแผ่นพับ และพัดกระดาษวางแจกไว้หน้าโรง ที่ตลกคือ คุณถังไกด์ของเราบอกว่า แผ่นพับหยิบได้ตามใจชอบ เท่าไรก็ได้
เพราะเขาอยากโฆษณาอยู่แล้ว แต่พวกเราส่วนใหญ่ ได้ยินว่าให้หยิบพัดไปเท่าไรก็ได้ ดังนั้น พอเห็นพัดที่วางอยู่ แม้เขาจะเขียนภาษาอังกฤษว่าให้หยิบคนละเล่ม
แต่พวกเราก็หยิบกันมาคนละหลายเล่ม เพื่อมาแจกเพื่อนเป็นของที่ระลึก กว่าจะรู้ว่าน่าจะฟังผิด ก็หยิบกันมาไม่น้อยกว่าคนละ3-4 เล่มกระมัง
เช้าวันรุ่งขึ้น คณะของเรายังอยู่ที่เมืองฮานอย โดยได้เดินทางไปยัง จตุรัสบาดินห์ (Ba Dinh Square )
อันเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานของท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์ และสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอีกหลายแห่ง คือ
ทัวร์เวียดนาม แวะชมสุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ในฮานอย ที่ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านโฮจิมินห์ประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม
ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของชาวเวียดนาม คนไทยมักเรียกท่านว่า “ลุงโฮ” สุสานนี้สร้างด้วยหินอ่อน และหินแกรนิตสีเทา สูง 21 เมตร
ภายในสุสานจะมีห้องโถงใหญ่ ซึ่งตรงกลางจะมีโลงแก้วครอบศพของลุงโฮที่มองดูคล้ายคนนอนหลับตั้งอยู่บนแท่นหิน
และมีทหารกองเกียรติยศในชุดสีขาว ถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่โดยรอบ อากาศข้างในจะเปิดแอร์เย็นเจี๊ยบ ผู้ที่จะมาเยี่ยมคารวะศพลุงโฮ
จะเดินไหลไปตามทางเดินแคบๆในลักษณะ One way ผ่านโลงแก้วดังกล่าว พอมองเห็นศพลุงโฮได้แว่บหนึ่ง ทหารก็จะคอยสั่งให้รีบเดิน เพื่อให้คนหลังได้ดูต่อไป
เพราะแต่ละวัน จะมีทั้งนักท่องเที่ยว และชาวเวียดนามมาเยี่ยมชมและเคารพศพลุงโฮไม่น้อย และที่นี่ห้ามนำกล้องหรือกระเป๋าสะพายเข้าไปในอาคารเด็ดขาด ต้องฝากไกด์เอาไว้
อันที่จริง ลุงโฮ หรือท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์ เมื่อตายไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2512 ท่านได้สั่งนักสั่งหนาให้เผาศพท่าน แต่รัฐบาลเวียดนามไม่ยอม
สุสานแห่งนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บศพของท่าน พร้อมทั้งได้ขอให้รัฐบาลรัสเซียมิตรประเทศของเวียดนาม ดองศพของลุงโฮให้
เพราะการดองศพให้มีลักษณะคล้ายคนนอนหลับที่เราเห็นจากศพลุงโฮ เป็นตัวอย่างนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าและความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย
ที่แพทย์ทางซีกโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่า และแต่ละปีทุก3 เดือนประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม ศพลุงโฮจะถูกนำกลับไปรัสเซียเพื่อรอรับการเปลี่ยนน้ำยาและทำความสะอาดใหม่
เพื่อให้ร่างของท่านมีอายุไปชั่วนิรันดร์ ตราบเท่าที่ชาวเวียดนามยังรักบูชาท่านอยู่ แต่ปัจจุบัน ไกด์เวียดนามเล่าว่าผู้เชี่ยวชาญรัสเซียจะเดินทางมาทำการเปลี่ยนน้ำยาให้ที่เวียดนามเลย
ดังนั้น ใครไปช่วงนั้นก็จะมิได้เห็นท่าน รวมถึงวันจันทร์ และวันศุกร์ที่เขาปิดสุสานด้วย ดังนั้น ใครอยากไปชมต้องดูวันให้ดี ตอนที่พวกเราได้เข้าไปเคารพศพลุงโฮที่สุสานนั้น
โชคดีที่ว่าคุณถังไกด์ของเราได้แนะนำว่า เขารู้จักกับคนที่นั่น หากเราไม่อยากไปเข้าคิวต่อแถวยาวเหยียดแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป ก็ให้ไปเป็นแขกเกียรติยศโดยถือหรีดไปคารวะ
เสียค่าหรีดเพียง 600 บาท ซึ่งพวกเราก็ยินดี เมื่อไปถึงจึงตั้งเป็น ๒ แถว มีทหารมานำ เอาหรีดไปเคารพหน้าสุสาน และให้เข้าไปเยี่ยมคารวะศพลุงโฮได้โดยไม่ต้องไปต่อแถวให้เสียเวลา
จากนั้นทัวยร์เวียดนาม พาเราไปเดินไปชมทำเนียบประธานาธิบดี ที่เป็นตึกสีเหลืองสด ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองของเวียดนาม
เดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะถึงบ้านพักของลุงโฮทั้งเก่าและใหม่ โดยเฉพาะบ้านที่เคยพำนักอยู่ในช่วงพ.ศ. 2501-2512
เป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ยกพื้นด้วยเสาสูง ชั้นล่างโปร่งไม่มีผนัง เป็นที่พักผ่อนและต้อนรับแขก ชั้นบนสุดมีห้องสมุด ห้องทำงาน และห้องนอน
เป็นบ้านที่เรียบง่าย สมถะ สมกับเป็นแบบอย่างที่ดี จนชาวเวียดนามได้ยกย่องให้ท่านเป็น “บิดาของประเทศเวียดนาม” ตลอดชีวิตของท่าน ไม่เคยใส่สูท และเป็นคนประหยัด
ท่านบอกว่า ข้อไม่ดีของท่าน ที่ไม่อยากให้ชาวเวียดนามเอาเป็นแบบอย่างคือ 1.สูบบุหรี่ และ 2.ไม่แต่งงาน (เพราะชีวิตของท่านได้อุทิศเพื่อบ้านเมืองไปแล้ว)
เมื่อเดินมาอีกหน่อย ทัวร์เวียดนามก็พาเราก็จะพบ เจดีย์เสาเดียว ซึ่งมีลักษณะเป็นศาลาเก๋งจีนสร้างด้วยไม้ ตั้งอยู่บนต้นเสาต้นเดียว ปักอยู่กลางสระบัว อายุกว่า 900 ปี
ภายในเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิน 10 กร ตามตำนานเวียดนามเล่าว่า พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งอยากได้พระราชโอรสมาก และรอมานานก็ไม่สมหวังสักที
จนวันหนึ่งได้สุบินเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมปรากฏองค์อยู่กลางสระบัว และประทานพระโอรสมาให้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ทรงมีพระราชโอรสสมปรารถนา
จึงได้สร้างวัดแห่งนี้กลางสระบัวเพื่อถวายเป็นราชสักการะ หลังจากไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ทัวร์เวียดนามพาพวกเราก็เดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ที่ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างจากรัสเซีย
เป็นสถานที่เก็บรวบรวมเรื่องราวต่างๆ ของลุงโฮ ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ และขั้นตอนการปฏิวัติ การกอบกู้เอกราชเวียดนาม จวบจนวาระสุดท้ายของท่าน
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ไกด์เวียดนามของเราเล่าให้ฟังว่า ที่ฮานอยนี้ เราจะเห็นบ้านทาสีเพียงด้านหน้าและด้านหลัง โดยปล่อยให้ด้านข้างเปลือยแบบไม่ทาไว้
ด้วยเหตุผลว่า เพื่อความประหยัด เพราะเพื่อนบ้านที่จะมาปลูกติดกัน กำแพงต้องชิดติดกันอยู่แล้ว ถ้าทาไปก็จะเสียเปล่า และบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทาสีเหลือง
เนื่องจากเหตุผล3 ประการ คือ ข้อแรก เป็นสไตล์ฝรั่งเศส ข้อสอง อากาศที่นี่ชื้น ฝนตกชุก ขึ้นราได้ง่าย
ทาสีอื่นจะเห็นชัด ข้อสาม เมื่อฤดูหนาว อากาศมัวซัว สีเหลืองจะทำให้บ้านดูสว่างสดใส
ทัวร์เวียดนามเหนือ จากฮานอย เราได้ออกเดินทางไปเมืองเว้ ที่เวียดนามกลาง โดยสายการบินภายในประเทศ ใช้เวลาบินเพียง 1 ชม. 10 นาทีก็ถึงที่หมาย
เมืองเว้นี้ได้ชื่อว่าเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ทัวร์เเวียดนามกลาง แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนามกลาง
ทัวร์เวียดนามกลาง พาชมเมืองเว้ อดีตเมืองหลวงเก่าของเวียดนาม
ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม เมืองแห่งกษัตริย์ในราชวงศ์เหวียน เมืองที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของเวียดนาม
เมืองที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1993
เมืองเว้ เมืองหลวงเก่าเวียดนามในอดีตซึ่งได้รับการอนุรักษ์เป็นเมืองมรดกโลก (WORLD CULTURAL HERITAGE CITY)
ทัวร์เวียดนามกลาง เยี่ยมนมัสการ วัดเทียนมู่ (แม่ฟ้าหลวง)ใน เวียดนามกลาง
วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา นิกายเซน มีเจดีย์เทียนมู่ ทรงเก๋งจีนแปดเหลี่ยมสูงลดหลั่นกันถึง 7 ชั้น ตั้งเด่นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม
วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตรเวียดนาม ์ และการเมือในช่วงยุคหลังของเวียดนาม คือเจ้าอาวาสของวัดนี้ลงประท้วงการฉ้อราษฏร์บังหลวงของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่กรุงไซง่อน
ด้วยการเผาตัวเองในปี ค.ศ. 1963 ปัจจุบันรถเก๋งออสตินสีฟ้า ที่ใช้เป็นพาหนะพาท่านเดินทางไปยังกรุงไซง่อนยังคงถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้ที่เวียดนามกลาง
ทัวร์เวียดนามกลาง ไม่พลาดพระราชวังไดนอย ในเวียดนามกลาง
พระราชวังเดิมของจักรพรรดิเวียดนามราชสงศ์เหงียนที่เก่าแก่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อแบบจีน
ซึ่งได้รับอิทธิพลการปกครองของจีนเป็นเวลาร่วมพันปี ชม พระราชวังไท ฮวา ซึ่งมีลักษณะเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่สวยงามมาก
เป็นสถานที่ที่ใช้จัดงานฉลองสำคัญต่าง ๆ ในพระราชสำนักและใช้เป็นสถานที่รับรองเชื่อพระวงศ์ชั้นสูงรวมถึงนักการทูตจากต่างประเทศ
ชมพระตำหนักเถเหมียว สถานที่เก็บป้ายพระวิญญาณของกษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ในราชวงศ์เหงียน แห่งเวียดนามในอดีต
ทัวร์เวียดนามกลาง ต้องมีสุสานจักรพรรดิไคดิงห์ อยู่ที่ เวียดนามกลาง
ชมหุบผาแห่งจักรพรรดิ สถานที่ซึ่งเป็นสุสานของจักรพรรดเวียดนามิ แห่งราชวงศ์เหงียน สถานที่แห่งนี้เป็นที่สร้างสุสานของจักรพรรดิถึง 7 พระองค์
อันได้แก่ พระเจ้าญาลอง, พระเจ้ามิงห์หม่าง, พรเจ้าตือดึก, พรเจ้าไคดิงห์ ฯลฯ เป็นสุสานที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกกับศิลปะท้องถิ่นเวียดนาม
ทัวร์เวียดนามกลาง เมืองดานัง ที่เจริญรวดเร็ว พัฒนาต่อเนื่อง อยู่ เวียดนามกลาง
ตามทางหลวงของเวียดนาม เรียบชายฝั่งตะวันออก ท่านจะผ่านอุโมงค์ยาวที่สุดที่เอเซียตะวันออกเฉียงไต้ ๖๗๑๑๑ เมตร เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงาม
ผ่านเส้นทางขึ้น ภูเขาสูงเกือบ1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยพัดผ่านและบรรยากาศที่เย็นสบาย
แวะพักที่ไห่เหวิ่น ซึ่งเป็นจุดชมวิวบนยอดเขา และชมหมู่บ้านชาวประมงที่ลังโค.
ทัวร์เวียดนามกลาง ต้องเมืองฮอยอัน มรดกโลกเวียดนามอีกแห่งหนึ่ง
ฮอยอันตั้งอยู่บนคาบสมุทรทะเลจีนใต้ มีสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย คนส่วนใหญ่จะนิยมมาเยี่ยมชมความงดงามของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แต่ครั้งกระโน้น
ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและความสงบของบ้านเมืองที่ทำให้เสน่ห์ของฮอยอันยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่เคยมาเยือน
เป็นเมืองโบราณของเวียดนาม ซึ้งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำทูโบน เป็นเมืองที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง มีพลเมืองราว 75,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ราว 12.000 คน
อาศัยอยู่ในเขตเมืองเก่าซึ่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยองค์การยูเนสโก และรัฐบาลโปแลนด์ได้ริเริ่มและให้ทุนทำโครงการบูรณะขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1980
เพื่อจัดประเภทและปกป้องเป็นเขตเมืองเก่าและอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮอยอัน ชมเขตย่านเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอันอันตื่นตา
กับวัดวาอาราม เจดีย์ ศาลาประชาคมประจำหมู่บ้าน ศาลเจ้าบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ ร้านค้าตลอดจนที่พักอาศัย
ชมสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองฮอยอัน
สะพานญี่ปุ่น สร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 17 ลักษณะทรงโค้ก มีหลังคามุงกระเบื้องสีเขียงเหลืองเป็นคลื่น
และกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ ดิ๊ก เด และตรัน หวู บุคคลสำคัญในตำนานเมืองฮอยอัน ชมบ้านเก่าตามถนนเลเลย
ซึ่งเป็นสายแรกที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีที่ผ่านมา และถนนเหวียน ไท ฮ็อก
ชม บ้านโบราณ บ้านหลังยาวที่มีบ้านและหลังบ้านติดถนนคนละสาย สร้างด้วยไม้มะค่า
ภายในเป็นที่อยู่อาศัย มีลายเปิดโล่งเห็นท้องฟ้าและมีเฉลียงเชื่อต่อสวยที่พักอาศัยหลายส่ว
ชมรูปแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของบ้านแต่ละหลังที่ไม่เหมือนกันเลย และหลังคาแบบกระดองปู ที่ใช้กันแพร่หลายและมีลักษณะพิเศษเป็นแบบฉบับของฮอยอัน
ชมวัดฟุก เกี๋ยน วัดที่ชาวจีนสร้างขี้นเพื่อนเป็นแหล่งพบปะพูดคุยกันระหว่างพ่อค้าและชาวประมง
นมัสการรูปปั้นสัมฤทธิ์ เจ้าแม่ถันเหมาเทพธิดาผู้ปกป้องคุ้มครองชาวเรือ จากนั้นให้ท่านอิสระเลือกซื้อของที่ระลึกในเมืองฮอยอัน อาทิ ภาพเขียน กระเป๋าสุภาพสตรี เป็นต้น ….
ทัวร์เวียดนามกลาง เกาะจาม อีกหนึ่งสถานที่ ๆน่าสนใจในเวียดนาม
เป็ฯเกาะแห่งหนึ่ง ของเวียดนาม ซึ่งเป็นเกาะที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งของชาวเมืองฮอยอัน และมีเรื่องเล่าประวัติที่น่าสนใจ ชาวฮอยอันเรียกกันว่า "เกาะจาม"
ตั้งต้นกันที่ชายฝั่งเมืองฮอยอัน เกาะจามตั้งอยู่บนคาบสมุทรทะเลจีนใต้ อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร เดินทางด้วยเรือสปีดโบ๊ต ขนาด 15 ที่นั่ง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีก็ถึงเกาะจาม เกาะจามเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเวียดนามอีกแห่งหนึ่ง
บันทึกในประวัติศาสตร์เวียดนามระบุว่า เกาะจามเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์พระองค์หนึ่งของเวียดนามเมื่อครั้งที่ทรงลี้ภัยจากสงครามและความวุ่นวาย
หลังจากนั้นเกาะแห่งนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น ไม่นับเรือประมงและเรือสินค้าที่ผ่านไปมาเป็นประจำอยู่แล้ว แม้ว่าสภาพภายนอกที่มีทะเลล้อมรอบ แต่เกาะจามก็มีน้ำจืดใช้สอยอย่างไม่ขัดสน ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญของบรรพบุรุษเรื่องชลประทาน
ในการนำน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขามาใช้ประโยชน์สูงสุด โดยวิธีการทดน้ำเพื่อไม่ให้น้ำไหลลงทะเลจนหมด
ทำให้ภูมิปัญญาเหล่านี้ยังคงได้รับการถ่ายทอดต่อมารุ่นต่อรุ่นจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นการจัดระบบการชลประทานที่ดีเยี่ยมที่เดียว
นอกจากจะทำอาชีพประมงเป็นหลักแล้ว ชาวเกาะจามยังมีอาชีพเพาะปลูก เช่น ปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็น วัว กระบือ สุกร เป็ด ไก่ ฯลฯ อยู่ท่ามกลางทะเล
ทัวร์เวียดนามกลาง ชวนชม อุทยานแห่งชาติ พองยา Phong Nha-Ke Bang
นั้นมีความโดดเด่นทางธรรมชาติและธรณีวิทยา เพราะมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยยุคน้ำแข็ง
หรือประมาณ 464 ล้านปีที่แล้ว และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีภูมิประเทศเป็นแบบหินปูนที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย
ในอุทยานฯ ยังเป็นที่ตั้งของถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถ้ำมากกว่า 300 ถ้ำ และปกคลุมไปด้วยป่าไม้เขตร้อน
ที่เรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศมากที่สุดในแถบอินโด-แปซิฟิกด้วย นอกจากนี้ ยังปรากฏลักษณะทางภูมิประเทศที่สำคัญ
ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นได้ที่อื่น เช่น ลำธารใต้ดิน ถ้ำที่มีหินย้อยลงมาจากเพดาน ฯลฯ อีกทั้งยังมีพันธุ์สัตว์ที่กำลังจะสาบสูญไปจากโลกนี้
เช่น หมีดำ เสือ และช้าง ส่วนกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวประกอบด้วย เดินชมความงามภายในถ้ำ ปืนเขา เดินป่า เป็นต้น
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงฮานอยลงไป 500 เมตร และเปิดให้บริการตลอดทั้งปี
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำโบสถ์ลาวาง
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองเว้มาประมาณ 50 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าอยู่ซ้ายมือ โบสถ์ลาวัง
เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ที่มีความสำคัญที่สุดของเวียดนาม หนึ่งในจุดท่องเที่ยวน่าสนใจก่อนถึงอุโมงค์หวิงห์มว๊อก
ภายในมีหอระฆังเก่าแก่ที่สามารถรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดสมัยสวครามอินโดจีน
ถัดมาส่วนในสุดเป็นที่ตั้งของรูปปั้นเจ้าแม่ลาวัง หรือสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่ปรากฏตัวของพระแม่มารี
ทัวร์เวียดนามกลาง ปราสาทหมีเซิน (เวียดนาม: My son )
ปราสาทหมีเซิน เป็นโบราณสถานในจังหวัดกว๋างนาม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4
เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ได้จัดให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
หมี่เซินเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้นๆของอาณาจักรจามปาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 - ศตวรรษที่ 15
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมลักษณะทางด้านศิลปกรรมที่หลากหลาย
จัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน กลุ่มปราสาทหมีเซิน ตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ
มีภูเขาโอบล้อม เนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง
แต่ในช่วงสงครามเวียดนามทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ
ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลายทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลัง
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ เมืองดานัง หรือจังหวัดกว่างนาม
ดานัง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหาน เมืองนี้เติบโตขึ้นมาจากหมู่บ้านชาวประมงจนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเวียดนาม เมื่อครั้งอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ทูแรน
ทว่าเมืองดานังกลับมีชื่อเสียงติดปากชาวต่างชาติก็เนื่องมาจากสงครามเวียดนาม เพราะนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาชุดแรกจำนวน 3,500 คน
ได้ยกพลขึ้นบกที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 2508 และหลังจากนั้นอีกเพียง 10 ปี กองกำหลังคอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ ก็เคลื่อนพลผ่านไปได้อย่างสบาย
เพื่อไปยึดเวียดนามใต้ จนย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 เมืองนี้จึงกลับมาเจริญอีกครั้งภายหลังที่สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
และทางสังคมฮอยอันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง แม่น้ำหลายสายเปลี่ยนเส้นทาง เนื่องจากแม่น้ำทูโบนเกิดตื้นเขิน
และกีดขวางการสัญจรทางทะเล เมืองท่าดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ในฐานะเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดในเขตภาคกลางของเวียดนาม
ผลผลิตเด่นๆ ของจังหวัดนี้ได้แก่ อบเชยจากตรามี พริกไทยจากเตียนเฟือก ยาสูบจากกามเ
ล ผ้าไหมจากฮวาวาง หญ้าฝรั่นจากตามกี และรังนกนางแอ่นจากหมู่เกาะนอกชายฝั่ง
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ ชม อ่าวดานัง (Danang Bay)
อ่าวดานัง ห่างออกมาจากตัวเมืองดานังขึ้นมาทางทิศเหนือราว 15 กิโลเมตร คุณจะได้พบกับชายหาดที่ทอดยาวขนานไปกับทิวเขาสลับซับซ้อน
หรือที่ชาวเวียดนามเรียกกันว่า อ่าวดานัง แม้ว่าที่นี่จะไม่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของหาดทรายที่ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม
เหมือนชายหาดขึ้นชื่ออย่างนอนเนื๊อก แต่สิ่งที่คุณจะได้พบเห็นคือวิถีชีวิตชาวบ้านที่ใช้เรือกระจาดออกหาปลา
เรือที่ใช้ไม้ไผ่สานทั้งลำชันด้วยยา พาหนะล่องลอยเหนือผืนน้ำที่หาดูได้จากที่นี่เพียงแห่งเดียว
ลักษณะของอ่าวดานังเป็นหาดทรายสีน้ำตาลเข้ม เต็มไปด้วยเรือกระจาดที่จอดเรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง
ตลอดจนเรือที่ออกหาปลาอยู่กลางทะเล ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การมาเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์มากกว่าจะลงเล่นน้ำ
สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงแรมและร้านอาหารก็ยังมีไม่มากนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนั่งรถมาเพื่อชมวิวเพลินๆ จากนั้นก็จะกลับไปพักในตัวเมือง
ทัวร์เวียดนามกลาง พาชม หาดนอนเนื๊อก (Non Nuoc Beach)
หาดนอนเนื๊อก : อยู่ใกล้กับหมู่บ้านนอนเนื๊อก เป็นหาดทรายที่เงียบสงบและสวยงาม ทอดตัวยาวไปทางด้านทิศใต้
ในสมัยสงครามเวียดนาม หาดไบเบียนนอนเนื๊อกหรือที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า หาดจีน
อดีตเคยใช้เป็นสถานที่ที่พวกทหารอเมริกันใช้เป็นแหล่งพักผ่อนคลายเครียดในระหว่างพักรบช่วงสงครามเวียดนาม
• จุดเด่นของหาดจีนอยู่ที่ความสวยงามของหาดทรายสีขาวละเอียดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม ทอดยาวขนานไปกับความรามรื่นของทิวมะพร้าว
บรรยากาศเงียบสงบเหมาะทั้งลงเล่นน้ำและพักผ่อนหย่อนใจ การเดินทางก็แสนสะดวกเพราะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง
ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกก็เพียบพร้อมทั้งที่พักและร้านอาหาร ทำให้ชาวเวียดนามนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้มาเยือนเมืองดานังเองก็มักจะไม่พลาดการมาเที่ยวชมความสวยงามที่ชายหาดแห่งนี้เช่นกัน
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ แม่น้ำหาน (Han River)
ภายหลังที่แม่น้ำทูโบนในเมืองท่าเก่าอย่างฮอยอันเริ่มตื้นเขิน เนื่องจากแม่น้ำหลายสายเปลี่ยนเส้นทาง
เรือขนส่งสินค้าจากต่างแดนไม่สามารถเข้ามาเทียบท่าได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองท่าแทนที่ฮอยอัน
เพราะด้วยลักษณะภูมิประเทศของดานังที่มีแม่น้ำหานไหลผ่านใจกลางเมือง สะดวกต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
แต่แม่น้ำหานก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงสายน้ำเศรษฐกิจที่นำพาความเจริญมาสู่เวียดนามกลาง
ทว่าแม่น้ำสายนี้ยังมีความสวยงามของทัศนียภาพที่ผสมผสานระหว่างเมืองท่าที่คึกคัก
และธรรมชาติที่สวยงามของขุนเขาน้อยใหญ่ได้อย่างลงตัว หากคุณมาเยือนเมืองท่าดานัง
ก็ควรหาเวลามาเดินเล่นที่ถนนเลียบแม่น้ำหาน เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เดินทางมาสะดวก
มีทางเลียบแม่น้ำที่ตกแต่งสวยงามด้วยสวนหย่อมสีเขียว วิวทิวทัศน์ก็สวยงามน่าชมตั้งแต่
นอกจากนี้ยังมีเรือดินเนอร์ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม
โดยระหว่างล่องเรือคุณจะได้ลิ้มรสอาหารเวียดนามไปพร้อมกับชมความสวยงามของแสงสีในยามค่ำคืน
นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ โบสถ์คริสต์ (Danang Cathedral)
โบสถ์คริสต์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดานัง ติดกับถนนตรันฝู เยื้องกับโรงแรมแบมบูกรีน
จุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ในประเทศเวียดนาม เริ่มจากมิชชันนารีตะวันตกพวกแรกได้เดินทางเข้ามาทางอ่าวตังเกี๋ยทางภาคเหนือของเวียดนาม
ในปี พ.ศ. 2076 และเผยแผ่เข้าสู่เวียดนามกลางอย่างถาวรเมื่อปี พ.ศ. 2158 โดยคณะมิชชันนารีโปรตุเกส โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2466
สมัยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดเด่นของโบสถ์ดานังแห่งนี้คือตึกสไตล์กอทิธสีชมพู ที่สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของดานัง
ภายนอกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลวดลายอันประณีต ถัดเข้าด้านในเป็นห้องโถงอันกว้างขวาง ตกแต่งด้วยกระจกสีสันสวยงาม
ชาวเมืองจะเดินทางมาที่โบสถ์แห่งนี้ในตอนเช้าและตอนเย็นของทุกวัน โดยเฉพาะวันอาทิตย์
จะคลาคล่ำไปด้วยจักรยานยนตร์ของชาวเมือง
ที่เดินทางมาเข้าโบสถ์ นับเป็นศูนย์รวมของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่เหนียวแน่นอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ วัดกวางมินห์ (Quang Minh Temple)
ภายในตัวเมืองดานังมีวัดทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจอยู่ทั้งหมด 3 แห่ง ตั้งแต่วัด Phap Lam ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2479
มีจุดเด่นอยู่ที่พระพุทธรูปปูนปั้นพระสังคจายองค์ใหญ่ที่ตั้งยู่ภายในวัด ถัดลงมาทางใต้ตรงข้ามกับถนน Phan Chu Trinh
เป็นที่ตั้งของวัด Pho Da สร้างขึ้นในปี พ. ศ. 2466 นับเป็นวัดเก่าแก่ในดานังที่มีสถาปัตยกรรมที่น่าเยี่ยมชม
ภายในมีโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับผู้ที่สนใจ ส่วนวัดกวางมินห์ เพราะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวที่สูงราว 36 เมตร
นับเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตเวียดนามกลาง ชาวดานังและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนก็นิยมมาสักการะบูชา
เพื่อความเป็นสิริมงคล บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างเงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ วัดกาวได๋ (Cao Dai Temple)
เมื่อคุณมาเยือนวัดกาวได๋ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ความแตกต่างจากวัดทั่วไปในศาสนาพุทธ
ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างความศรัทธากับวัฒนธรรมอันหลากหลาย เห็นได้จากการตกแต่งผนังโบสถ์ด้วยรูปปูนปั้นของพระเยซู
ขงจื้อ พระพุทธเจ้า พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ ถัดเข้ามาภายในคุณจะพบกับสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของลัทธินี้
คือ ลูกกลมที่ทำจากกระดาษระบายสีเป็นรูปดวงตาที่มีรัศมีของดวงอาทิตย์ล้อมรอบ วางอยู่ตรงกลางแท่นบูชา
รอบๆ มีพระพุทธรูป ขงจื๊อ เล่าจื๊อ นักบุญ และเทพเจ้าทั้งหลายประดิษฐานอยู่ ตามหลักการของลัทธินี้
ที่พยายามนำเอาความศรัทธาทั้งหมดที่มีอยู่ในเวียดนามมาอยู่ภายใต้ผู้สร้างสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว
คือ กาวได๋ โดยเริ่มจาก 3 ศาสนาหลักก่อน คือ พุทธ เต๋า ขงจื๊อ แต่ต่อขยายไปถึงศาสนาคริสต์ อิสลาม และลัทธิตามความเชื่ออื่นๆ
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ (War Meorial)
แม้ว่าเมืองเว้จะไม่ใช่สมรภูมิรบอันดุเดือดถ้าเทียบกับเมืองด่งฮา จังหวัดกวางตรี ซึ่งอยู่ในเขตปลอดทหาร DMZ
แต่เมืองท่าริมแม่น้ำหานแห่งนี้ก็ยังมีสิ่งหลงเหลือจากสมัยสงครามให้ได้เยี่ยมชม ตั้งแต่อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ
ที่คุณสามารถพบเห็นได้ในทุกใจกลางเมืองของประเทศเวียดนาม ลักษณะเป็นแท่งหินสูง
ด้านหน้าเป็นแท่นบูชาใช้สำหรับรำลึกถึงวีรบุรุษผู้กล้าหาญ บริเวณรอบๆ รายล้อมด้วยสวนหย่อมที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ถัดออกมาทางเหนือของเมืองตามชายฝั่งทะเล มีฐานทัพอากาศเก่าๆ อยู่แห่งหนึ่ง
ปัจจุบันใช้เป็นที่ฝึกอบรมของกองทัพเวียดนาม และสถานกงสุลเก่าของอเมริกาที่ตั้งอยู่บนถนนแบ็กดัง เลียบขนานไปกับแม่น้ำหาน
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ หัตถกรรมผ้าปัก (XQ Danang Silk Hand Embroidery)
หัตถกรรมผ้าปัก : ร้านผ้าไหมปัก XQ ย่านใจกลางเมือง ภายในร้านแบ่งออกเป็น 3 ชั้น จัดวางงานอย่างสวยงามลงตัวตามห้องต่างๆ
เริ่มจากชั้นที่ 1 ที่จัดแสดงงานผ้าไหมปักเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวถึงวิถีชีวิตของชาวเวียดนามสมัยครั้งที่ยังพึ่งพิงธรรมชาติ
จนเข้าสู่ยุคของการสูญเสียจากสงครามอินโดจีน ถัดมาที่ชั้น 2 จัดเป็นห้องรับแขกที่พร้อมต้อนรับคุณด้วยน้ำชารสดี
ให้คุณได้นั่งลิ้มรสชาไปพร้อมกับชมความสวยงามของผลงานผ้าปักที่จัดแสดง
นอกจากนี้ยังมีห้องที่จัดแสดงชุดประจำชาติอ่าวหญ่ายของ 3 เมืองหลวงที่หาดูได้ยาก
ตั้งแต่เมืองดานัง เว้ และไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ส่วนขั้นตอนในการทำผ้าไหมปักนั้นจะอยู่บริเวณชั้น 3
ซึ่งต้องขออนุญาตจากพนักงานก่อนขึ้นไปชม ก่อนกลับจะเลือกซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือก็ได้
แต่ผลงานแต่ละชิ้นราคาค่อนข้างแพง สมกับเป็นผลงานศิลปะชิ้นยอดของชาวเวียดนามที่หาชาติใดเสมอเหมือน
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ พิพิธภัณฑ์จาม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดานัง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการทราบความเป็นมาของชนชาติจามที่รุ่งเรืองมาก่อนอาณาจักรใดๆ ในภูมิภาคน
ี้ต้องไม่พลาดการเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะได้ทำการรวบรวมหลักฐานต่างๆ จัดแสดงไว้มากมาย
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของประติมากรรมที่แกะสลักจากหินและสำริด
• พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมของจาม ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของฝรั่งเศส (Ecole Francaise d Extreme Orient)
เมื่อปี พ.ศ. 2479 นิทรรศการถูกจัดแสดงไว้ตามห้องต่างๆ ที่สะท้อนถึงยุคสมัยทั้ง 4 ยุคตามแหล่งกำเนิดของอารยะธรรม
ได้แก่ หมี่เซิน ตราเกียว ด่งเดือง และทาพเมิม ส่วนชั้นบนของพิพิธภัณฑ์มีการแสดงภาพ
ที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวจามไว้อย่างน่าสนใจ
ถัดมาด้านนอกมีระเบียงที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองท่าริมแม่น้ำหานได้อย่างสวยงาม
ทัวร์เวียดนามกลาง แนะนำ ภูเขาหินอ่อน ( Marble Mountains )
ภูเขาหินอ่อนอยู่ทางทิศใต้ของเมืองดานัง ประกอบด้วยเนินเขาน้อยใหญ่ 5 ลูก
ชาวเวียดนามจึงเรียกภูเขาหินอ่อนนี้อีกชื่อว่า ภูเขาแห่งธาตุทั้งห้า อดีตภูเขาเหล่านี้เคยเป็นกลุ่มของเกาะนอกชายฝั่ง 5 เกาะ
แต่เนื่องมาจากการตกตะกอนปีแล้วปีเล่าทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่
ภายในภูเขามีแท่นบูชาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าองค์อื่นๆ ตามความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น
ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ถุ่ยเซิน ซึ่งในอดีตชาวจามเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ปัจจุบันถ้ำแห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ศาสนาอยู่เช่นเดิม
สำหรับจุดน่าสนใจในการเที่ยวชมภูเขาหินอ่อนแห่งนี้เริ่มตั้งแต่บริเวณทางขึ้นที่มีร้านค้าที่แกะสลักหินอ่อน
เป็นลวดลายต่างๆ ให้เลือกซื้อเลือกชม จากนั้นผ่านบันไดทางขึ้นค่อนข้างชันมายังลานด้านบน
มีทางเดินต่อไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองดานังท่ามกลางขุนเขาบริวารน้อยใหญ่ได้อย่างสวยงาม
ตลอดจนถ้ำที่ดูลึกลับหลายแห่ง ขากลับแนะนำให้เดินลงอีกด้านหนึ่งเพราะเป็นเส้นทางที่จะพาคุณไปสู่จุดชมวิว
ที่มองเห็นผืนน้ำสีฟ้าครามของท้องทะเลดานังได้กว้างไกลสุดสายตา
และเจดีย์ทรงเก๋งที่มีความสำคัญภายในภูเขาหินอ่อนอันเป็นจุดสุดท้ายของการเที่ยวชม
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางตอนใต้ของเวียดนาม
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi Tunnels)
อุโมงค์แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ใช้เป็นที่หลบภัยจากระเบิด
ที่สำหรับประชุมของกองกำลังเวียดกงในสมัยที่รบกับสหรัฐอเมริกา อุโมงค์ถูกสร้างขึ้นให้มีหลายชั้น
และแต่ละชั้นจะมีระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อความอยู่รอดของทหาร
ภายในอุโมงค์ประกอบไปด้วยโรงพยาบาล ห้องประชุม และห้องพัก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจะได้รับชมหนังสั้น
ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนามก่อน เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ได้ง่ายขึ้น
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโฮจิมินห์ 70 กิโลเมตร และเปิดให้บริการตลอดทั้งปี
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ พิพิธภัณฑ์สงคราม ( War Remnants Museum )
เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 โดยใช้ชื่อว่า Museum of American War Crimes
เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงความเจ็บปวด ความเศร้าโศก เมื่อครั้งสงครามเวียดนาม
ภายในมีการจัดแสดงเฮลิคอปเตอร์ ขีปนาวุธ รถถัง เครื่องบินจู่โจม ฯลฯ
ซึ่งอาวุธเหล่านั้นเป็นอาวุธที่ทหารอเมริกันใช้โจมตีเวียดนาม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดในพิพิธภัณฑ์
คือ กรงเสือ ที่นำมาใช้เป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองถึง 14 คน รวมถึงเครื่องประหารชีวิตนักโทษการเมืองก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน
นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดลึก ๆ ในหัวใจของชาวเวียดนามได้เป็นอย่างดี
ตั้งอยู่ในเมืองโฮจิมินห์ เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 07.30-12.00 น. และ 13.00-17.00 น.
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ จัตุรัสโฮจิมินห์
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ มีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ตลาดเบนถัน (Ben Thanh Market)
ตั้งอยู่บนถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร
ซึ่งมีหอนาฬิกาอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ ตลาดแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เป้ นาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ ไปจนถึงอาหารสด และดอกไม้ ราคาไม่แพง
ตลาดเบนถัน ที่นี้เป็นศูนย์รวมของสินค้าเกือบทุกประเภทสร้างตั้งแต่ปีค.ศ.1914 ผมตั้งใจว่าจะมาแวะช่วงก่อนกลับ
ส่วนด้านหน้าตลาดจะเป็นอนุสาวรีย์จิ่นเงวียนหาน ซึ่งเป็นผู้เริ่มใช้พิราบสื่อสารเป็นคนแรก
ถ้าสังเกตที่มือจะเห็นว่าว่ามีนกพิราบเกาะอยู่ แต่เสียดายลืมถ่ายรูปด้านหน้ามาครับ
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ โรงละคร (Opera House)
ตั้งอยู่บนถนนเลเลย สร้างในปี พ.ศ. 2402 เพื่อใช้แสดงอุปรากร แต่ได้ถูกใช้ให้เป็นสำนักงานใหญ่ของสภาแห่งชาติเวียตนามใต้
แต่ทุกวันนี้ก็ใช้งานเหมือนเดิม ทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงแตกต่างกันออกไป สุดลานน้ำพุมองออกไปจะเป็นที่ตั้งของโรงละคร
ที่ชาวเวียตนามออกเสียงว่าโรงละครยาฮดแถงห์โฝ (Nha hat Thanh Pho)
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral)
ตั้งอยู่บนถนน Han Thuyen ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี
โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย
ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร
เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี
นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม
อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439
เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม
ด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง
จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคาร แห่งนี้
ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ (เห็นว่าที่นี่มีร้านแลกเงินด้วยนะคะ)
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ (Zoo & Botanic Gardens)
ตั้งอยู่สุดถนนเลหย่วน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2407 มีต้นไม้ใหญ่มากมาย
และมีการจัดแต่งสวนเป็นอย่างดี มีสวนกล้วยไม้เก็บรวบรวมชนิดพรรณพื้นเมืองไว้พอสมควร
หากต้องการพักผ่อนในที่ที่ร่มรื่นแนะนำให้ไปที่สวนถ่าวกัมเวียน (Thao Cam Vien)
หรือสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลบหลีกจากความอึกทึกวุ่นวายตาม ท้องถนน
และเป็นสถานที่ที่เงียบสงบมากที่สุดในโฮจิมินห์ซิตี้ จุดที่ไม่ควรพลาดอีกจุดหนึ่งคือ ด้านหน้าทางเข้ามีช้างหล่อตัวหนึ่ง
ได้รับการพระราชทานจากระเจ้าอยู่หัวของไทยในสมัยนั้นครั้งเมื่อไปเยือน ประเทศอินโดจีน
ได้มีการจารึกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้ที่แท่นด้านหน้าว่า “
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงสยาม พระราชทานไว้ให้เป็นที่ระลึก
ในการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังประเทศอินโดจีนเป็นครั้งแรก เสด็จพระราชดำเนินขึ้นที่เมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2473”
ด้านในสวนพฤษศาสตร์มีสัตว์ให้ชมอยู่หลายประเภท
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)
ตั้งอยู่ใกล้กับ สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2470 เป็นตึกทรงยุโรปที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง
ชาวเวียตนามเรียกตึกนี้ว่า เวียนบ่าวตางหลิกสือ (Vien Bao Tang Lich Su)
ที่นี่มีโบราณวัตถุที่แสดงถึงวิวัฒนาการของวัฒนธรรมต่างๆ ในเวียตนาม ตั้งแต่อารยธรรมยุคสำริดดงเซิน
ไปจนถึงอารยธรรมฟูนัน จาม และเขมร ในบรรดาสิ่งที่จัดแสดงไว้มีโบราณวัต: ยุคหิน สำริด ศิลาจารึก
กลองมโหรี เครื่องปั้นดินเผางานศิลปะของชาวจาม และเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ
บนชั้นสามทางด้านหลังของอาคารมีห้องสมุดวิจัยที่เก็บรวบรวมหนังสือจากยุคฝรั่งเศสที่น่าสนใจไว้เป็นจำนวนมาก
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไซ่ง่อนและแม่น้ำเบนเหง่ ห่างจากใจกลางเมือง 5 กิโลเมตร ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2406
และต่อเนื่องผูกพันกับโฮจิมินห์ในวัยหนุ่มมาก จนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสและกลับมาอีกครั้ง
ก่อนจะนำประเทศเข้าสู่การปฏิวัติและการขับไล่ชาติตะวันตกรวมถึงการรวม เวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ให้เป็นประเทศเวียตนาม
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวส่วนตัวของอดีตผู้นำประเทศเวียตนาม และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพกับชาติตะวันตก
และต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของคนในชาติอีกด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่าบ้านมังกร
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Reunification Palace)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี ปัจจุบันเรียกกันว่าทองยัด
และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็น ทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศสที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม (Norodom Palace)
ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2411 หลังจากที่ข้อตกลงเจนีวานำจุดจบมาสู่การยึดครองของฝรั่งเศส
โงดินห์เดียม ประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ได้พำนักอยู่ในทำเนียบแห่งนี้
ในปี พ.ศ. 2506 ทำเนียบนี้ถูกทิ้งระเบิดโดยทหารอากาศเวียตนามใต้
และได้มีการสร้างอาคารใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace)
ขึ้นแทนที่โครงสร้างเก่าถูกทำลาย อาคารปัจจุบันออกแบบโดยโงเวียดทู (Ngo Viet Thu)
สถาปนิคชาวเวียตนามผู้สำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2509 ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าชนประตูเหล็กด้านหน้าของทำเนียบและโค่นรัฐบาลเวียตนามใต้ลง
ทำเนียบเดิมถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ โดยทุกสิ่งทุกอย่างถูกทิ้งไว้ให้เสมือนสภาพเดิมในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2509
โดยชั้นล่างเป็นห้องจัดเลี้ยง ห้องโถงใหญ่ซึ่งรัฐบาลเวียตนามใต้ประกาศยอมแพ้
และห้องเล็กถูกใช้สำหรับการ บรรยายสรุปประจำวันทางทหาร ในระหว่างช่วงก่อนที่รัฐบาลเวียตนามใต้จะถูกโค่น
ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องรับรองของประธานาธิบดีตรันวันเฮือง และห้องรับรองของประธานาธิบดีเทียว
ซึ่งเพียบพร้อมด้วยห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร และห้องสวดมนต์แบบคาทอลิค
ชั้นสามเป็นห้องรับรองของภริยาประธานาธิบดี และชั้นที่สี่เป็นห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัวและลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ซึ่งจากที่นี่จะสมารถเห็นทิวทัศน์อันงดงามของถนนเลหย่วน (Le Duan Boulevard) ได้เป็นอย่างดี
ด้านหลังทำเนียบเป็นสวนสาธารณะกงเวียดวันฮวา (Cong Vien Van Hoa) ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวร่มรื่นสบายตา
ด้านหน้าถนนเลหย่วน ถูกกั้นไว้ด้วยสวนสาธารณะใหญ่แห่งหนึ่งที่ร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่
บริเวณด้านหนึ่งใกล้กับถนนไทวันลุง (Thai Van Lung) สำนักงานของโครงการอพยพอย่างมีระเบียบของอเมริกัน (American Orderly Departure Program)
ซึ่งตั้งอยู่ในปี พ.ศ. 2523 เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กลูกครึ่งอเมริกัน-เอเชีย และผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่บริเวณใกล้ๆ นั้น
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ห้าง Zen Plaza
แต่ไม่ใช่ที่ Central Word นะครับ อยู่ที่ถนนเหงวียนจ๋าย
บริหารโดย บ.Hasegawa ของญี่ปุ่น ขนาดไม่ใหญ่สูงประมาณ 5-6 ชั้น ข้างบนสุดเป็นร้านอาหาร
การตกแต่งร้านค่อนข้างดี เสียดายลืมถ่ายรูปข้างในมาให้ดูครับ โดยในนี้จะเน้นขายสินค้าประเภทเสื้อผ้า
มีทั้ง Local Brand และ Global Brand อ้อ! มี Super Market อยู่ชั้นใต้ดินด้วยครับ
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ อุโมงค์กู่จี
ยู่ห่างจากโฮจิมินห์ซิตี้ประมาณ 40 กิโลเมตร ที่นี่เปรียบเสมือนที่มั่นหลักและที่มั่นสุดท้ายของทหารเวียดกง
ซึ่งเป็นกองกำลังของเวียตนามใต้ที่ไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาล โดยได้รับการจัดตั้งก่อสร้างขึ้นโดยคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการสู้รบในสมรภูมิเวียตนามใต้ การขยายกำลังของเวียดกงเป็นไปอย่างรวดเร็วจากการจัดตั้งปี พ.ศ. 2507
กองกำลังเวียดกงได้ขยายเป็นกว่า 30,000 คน จนสิ้นสุดสงครามใน ปีพ.ศ. 2518
เวียตนามรวมตัวกันได้เป็นหนึ่งเดียว เวียดกงจึงลดบทบาทลง จากโฮจิมินห์ไม่มีรถโดยสารไปยังอุโมงค์กู่จี ให้ซื้อแพ็กเก็จแบบวันเดย์ทัวร์
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ชายหาด หวุงเต่า เมืองชายทะเลอันแสนสงบ
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากโฮจิมินห์ 125 กิโลเมตร การเดินทาง มีรถโดยสารจากโฮจิมินห์ซิตี้ออกเดินทางทุกวัน
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถานีตรงข้ามตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)
ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นช่วงที่เรือของพ่อค้าชาวโปรตุเกสได้มาทอดสมออยู่ในอ่าวหวุงเต่า
นอกจากนี้สมัยที่อยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสอ่าวนี้มีชื่อว่า อ่างแซงต์จ๊าคส์ (Cap Saint Jacques)
เป็นที่พักตากอากาศชายทะเลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมืองท่าชายฝั่งและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งน
ี้เป็นเขตอุตสาหกรรมก๊าชธรรมชาติและน้ำมันที่กำลังเติมโตของเวียดนาม
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ หาดถุ่ยวัน (Thuy Van)
เป็นหาดที่มีความงดงามและมีความยาวถึง 7 กิโลเมตร ไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออก
ถุ่ยวัน ได้รับความนิยมมากในหมู่ชาวพื้นเมืองและมีคนค่อนข้างหนาแน่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ถัดจากหาดทรายเข้าไปมีวัดและเจดีย์ในพุทธศาสนาอยู่กว่า 100 แห่ง ที่ที่ไม่ควรพลาดเลยคือ ลางกาอง (Lang Ca Ong) หรือวัดปลาวาฬ
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ วัดปลาวาฬ
วัดปลาวาฬ อยู่บนถนนฮวางฮวาทาม (Hoang Hoa Tham Avenue)
วัดนี้สร้างในปี พ.ศ. 2454 เพื่ออุทิศให้กับลัทธิปลาวาฬ กลุ่มคนที่มาสถานที่นี้มากที่สุดคือชาวประมง
ซึ่งนับถือปลาวาฬในฐานนะที่เป็นผู้ช่วยชีวิตจากอันตรายในทะเลลึก โครงกระดูกปราวาฬที่ขึ้นมาเกยหาดแถบนี้ถูกเก็บไว้ในหีบใบใหญ่
บางโครงมีความยาวถึง 4 เมตร และบางโครงมาอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411
ชาวเวียดนามรับเอาลัทธิปลาวาฬมาจากคนที่อยู่ในอาณาจักรจามปา ผู้ซึ่งบูชาเทพเจ้าปลาวาฬ ทุกๆ ปีในวันที่ 16 ของเดือน 8 ตามจันทรคติ
ชาวประมงจำมาชุมนุมกันที่วัดนี้เพื่อเซ่นสังเวยปลาวาฬ มีเกร็ดย่อยๆ นับพันเรื่องในนิทานพื้นบ้านของชาวเวียดนามที่เกี่ยวกับปลาวาฬ
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ วิลล่าบลองเช่ (Villa Blanche หรือ วิลล่าขาว)
วิลล่าขาว ตั้งอยู่ ในบริเวณอันงดงามบนไหล่เขานุยเลิน สำหรับพบ้านพักตากอากาศแห่งนี้
มีลักษณะโดดเด่นมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ที่สามารถมองเห็นเมืองได้เป็นอย่างดี
และเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อันตระการตาหรือหวุงเต่าอีกด้วย วิลล่านี้สร้างโดยผู้ปกครองชาวฝรั่งเศส
ซึ่งมักจะเรียกกันว่าผู้สำเร็จราชการ พระเจ้าแถงห์ไท (Thanh Thai) เคยประทับอยู่ที่นี่ระหว่างปี พ.ศ. 2450 – 2459
จนกระทั่งพระองค์ถูกเนรเทศออกไปพร้อมกับพระเจ้ายวุยเติน (Duy Tan) โอรสของพระองค์ไปประทับอยู่บนเกาะรียูเนี่ยน (Reunion Island)
ต่อมาวิลล่าแห่งนี้ได้กลายเป็นที่พักริมฝั่งทะเลของประธานาธิบดีเวียตนามใต้ 2 คน คือ เยียม และเทียว
ถนนเลียบชายฝั่งทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทร ที่เดิมเรียกกันว่ารูทเดอลาปะติทคอร์นิช (Route de la Petite Corniche)
จะทอดตัวคดเคี้ยวไปตามความสูงต่ำของภูเขานุยเลิน ถัดไปคุณจะพบรูปปั้นพระเยซูสูง 30 เมตร
ยืนทอดพระเนตรไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงจุดใต้สุดของคาบสมุทรรูปหั้นนี้สร้างขึ้นโดยชาวอเมริกันใน ปี พ.ศ. 2514
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ตามหลักฐานทางวิชาการกล่าวว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในสมัยโบราณเคยเป็นอาณาเขตของกัมพูชา
มีภูมิประเทศเป็นหนองบึง และป่าไม้ ก่อนที่ชาวอาณานิคมพวกแรกที่เข้ามาทางทะเลจะมาถึงในศตวรรษที่ 16
ในสมัยที่อยู่ใต้การปกครองของขุนพลตระกูลเหวียนนั้น ได้มีการปรับปรุงสภาพหนองบึงผืนใหญ่ และสร้างเครือข่ายลำคลองเล็กๆ มากมาย
จนปลายศาตวรรษที่ 18 ได้มีการขุดคลองใหญ่ขึ้น 2 สาย คือ คลองไทฮวา (Thai Hoa)
ซึ่งเชื่อมเมืองร้ากยา (Rach Gia) กับเมืองลองเสวียน (Long Xuyen) และคลองวิงห์เต (Vinh Te) ซึ่งเชื่อมเมืองเจาด๊ก (Chau Doc)
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ล่องเรือสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ที่ตั้ง : อยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงทางทิศใต้ของโฮจิมินห์ซิตี้
นักท่องเที่ยวควรเลือกซื้อแพ็คเก็จแบบวันเดย์ทัวร์จะสะดวกกว่า การล่องเรือท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
แนะนำให้ไปเที่ยวจังหวัดเตียงยาง (Tien Giang) ซึ่งเป็นเขตปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ หมี่โถ (My Tho)
หมี่โถ (My Tho) เมืองเอกของจังหวัดซึ่งมีประชากรราว 90,000 คน ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำมีโอ อันเป็นสาขาเหนือสุดของแม่น้ำโขง
เมืองนี้ตั้งขึ้นช่วงทศวรรษที่ 1680 โดยผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากไต้หวันและโฮจิมินห์ซิตี้ สามารถเดินทางมาเมืองนี้ได้อย่างสะดวกสบาย
โดยรถประจำทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือโดยทางเรือซึ่งจะกินเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง
ลงเรือที่ท่าเรือของเมืองหมี่โถ เพื่อจะเดินทางไปท่องเที่ยวชมความหลากหลายของชีวภาพของเกาะต่างๆ ที่อยู่กลางแม่น้ำโขง
คนท้องถิ่นเรียกว่า แม่น้ำเตียน ซึ่งจะมีไกด์บรรยายทันทีเมื่อเรือออกจากฝั่งแล่นผ่านเกาะต่างๆ ในแม่น้ำ
โดยบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของแต่ละเกาะ วัฒนธรรม ประเพณี อาชีพ การดำรงชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้านบนเกาะ
จากฝั่งเมืองหมี่โถประมาณ 30 นาที จะถึงเกาะยูนิครอน เป็นเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง มีความกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร
และมีความยาวประมาณ 11 กิโลเมตร มีผู้คนอาศัยอยู่ อาชีพหลักของคนบนเกาะนี้คือการเกษตรปลุกผลไม้ต่างๆ
เช่น ลำไย กล้วยไข่ ละมุด เงาะ มะละกอ สัปปะรด มะพร้าว มีจุดสาธิต แสดงผลผลิตและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของชาวบ้าน
มีผลิตภัณฑ์ลูกอมกะทิและผลไม้อบแห้งต่างๆ และหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่ทำจากต้นมะพร้าวอายุกว่า 100 ปี
มีการบริการน้ำส้มคั้นผสมน้ำผึ้ง และเหล้าดองสมุนไพรให้บริการนักท่องเที่ยวพร้อมฟังดนตรีบรรเลงพื้นเมืองด้วย
ทัวร์เวียดนามใต้ ข้อมูลท่องเที่ยวดาลัด
ทัวร์ดาลัดสวิสเซอร์แลนด์เวียดนาม เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ในจังหวัดลามดงทางภาคใต้ตอนบนของเวียดนาม
สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกจากประเทศไทยโดยมีเที่ยวบินตรงสู่โฮจิมินห์ซิตี้
จากนั้นนั่งรถประจำทางจากโฮจิมินห์บริเวณสถานีขนส่งเมียงดอง มาตามเส้นทางเบียนฮวาระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร
ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ยังมีเที่ยวบินจากฮานอยบินตรงสู่ดาลัดด้วย
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำการเดินทางในเมืองดาลัด
ดาลัด ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโอบล้อมไปด้วยทิวเขา การเช่าจักรยานปั่นจึงไม่ใช่วิธีที่ดีนักและไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะสถานที่แต่ละแห่งนั้นอยู่ไกลจากกันวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่งรถเที่ยวชมตัวเมือง
หรือจะเช่าขี่เองซึ่งต้องใช้ความชำนาญเพราะรถค่อนข้างเยอะในเขตเมือง และนอกเมืองจะเป็นทางบนเขา
เมืองดาลัดแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาปกคลุมด้วยทิวสน ทะเลสาบ และป่าไม้ที่ราบสูงลามเวียดที่อยู่ติดกับแม่น้ำกามลี
มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,500 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 17 องศษเซลเซียส
นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โรแมนติคที่สุดของเวียดนาม และได้รับอีกสมญานามว่า เมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิชั่วนิรันดร์
จากความงดงามของภูมิประเทศนี้ทำให้ครั้งหนึ่งชนชั้นปกครองของฝรั่งเศสเคยคิดจะสร้างให้เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาแห่งน
ี้เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐอินโดจีน ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในตอนปลายของศตวรรษที่ 19
แต่ภายหลังการสำรวจพื้นที่แล้วก้อไม่ได้จัดตั้งขึ้น แต่กลับทำให้เกิดการก่อตั้งศูนย์วิจัยทางการเกษตรและอุตุนิยมวิทยาขึ้นที่นี่
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด ปารีสตะวันนออก เมืองแห่งดอกไม้
ดาลัด ตั้งอยู่ในตลาดลามดง ทางภาคใต้ตอนบนของเวียดนาม ชื่อ ดาลัด
มาจากคำ 2 คำ คือ ดา หมายถึง แหล่งกำเนิดหรือแม่น้ำกามลี ส่วนคำว่า ลัด เป็นชื่อของชนกลุ่มน้อยเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นี่
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ปกคลุมไปด้วยทิวสน ทะเลสาบ และป่าไม้บนที่ราบสูงลามเวียต
ถัดจากแม่น้ำกามลี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,500 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส
นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โรแมนติคของเวียดนาม และได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิชั่วนิรันดร์
จากความงดงามและเงียบสงบ ทำให้ครั้งหนึ่งชนชั้นปกครองชาวฝรั่งเศส
เคยคิดจะสร้างให้เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐอินโดจีนที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในตอนปลายศตวรรษที่ 19
แต่หลังจากสำรวจพื้นที่แล้วก็ไม่ได้จัดตั้งขึ้น แต่สร้างหม้เป็นศูนย์วิจัยทางการเกษตรและอุตุนิยมวิทยาขึ้นที่นี่
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในดาลัด
ทะเลสาบซวนฮวาง (Xuan Huong Lake) ในดาลัด
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองดาลัด ในยุคอาณานิคมแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟที่สวยงามมากที่สุดของเวียดนาม
แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นที่พักผ่อนและชมวิถีชีวิตของชาวดาลัดที่ผ่านทะเลสาบซวนฮวางตลอดทั้งวัน
ซึ่งจะได้พบความน่ารักของชาวเมืองที่อยู่กันแบบสังคมเกษตร ซึ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่เร่งรีบ
นอกจากนี้ยังมีวิวทิวทัศน์ของเมืองที่มีต้นสนแซมอยู่ทุกบริเวณได้รอบทิศทางอีกด้วย
และชมพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาริมทะเลสาบ มีบริการให้เช่าจักรยานปั่นเล่น ร้านอาหารมากมาย เป็นบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติคมาก
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด แนะนะ โบสถ์คริสต์ (Evangelical Church)
ตั้งอยู่บนเนินเขาในย่านใจกลางเมืองใกล้กับไปรษณีย์กลางดาลัด บนถนนเหวียนวันโตรย (Nguyen Van Troi)
โบสถ์สีชมพูอมส้มแห่งนี้ มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมของเมืองและเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ทีเดียว
โบสถ์คริสต์แห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1940 เป็นโบสถ์ของชาวคริสต์โปแตสแตนท์ จะโดดเด่นในด้านการก่อสร้างและตกแต่งสไตล์ตะวันออก
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด โบสถ์โดเมนเดมารี (Domaine de Marie Convent)
ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ บนถนนโงเกวี่ยน (Ngo Quyen) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2483 – 2485
ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมาเยือนที่นี่ ทั้งที่เป็นคริสต์ชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace)
ตั้งอยู่นอกเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่
จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ได้รับการออกแบบและปลุกสร้างอยู่ใต้ร่มเงาของทิวสนใหญ่
ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 5 ปี โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2476
ซึ่งภายในตัวตึกมีห้องภาพของพระเจ้าเบ๋าได่ พระมเหสี พระโอรส ธิดา และมีห้องสำหรับทรงงาน
ในปี พ.ศ. 1975 พระเจ้าเบ๋าได่ เสด็จออกจากประเทศเวียดนาม ไปพำนักยังประเทศฝรั่งเศส
พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด หุบเขาแห่งความรัก (Valley of Love)
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซวนฮวางมาราว 5 กิโลเมตร หุบเขาแห่งความรักหรือที่ชาวเวียดนามเรียกทุงหลุงติงห์เอียว
มีลักษณะเป็นหุบเขาซึ่งมีวิวทะเลสาบ ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ที่ปกคลุมด้วยไม้สน
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด (Dalat Flower Gardens)
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซวนฮวาง บนถนนฟูดงเตียนหวุง (Phu Dong Thien Vuong)
ได้รับการสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2409 เพื่อให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรภาคใต้ ดาลัดได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งดอกไม้
ที่นี่จึงมีดอกไม้บานสะพรั่งตลอดทั้งปี และหากจะต้องการเห็นพรรณไม้ของดาลัดก็ไปยัง สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด
ที่ได้รวบรวมพรรณไม้ไว้อย่างมากมาย ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น และกล้วยไม้
ที่มีทั้งกล้วยไม้สายพันธุ์แท้และลูกผสม ซึ่งกล้วยไม้ตัดดอกทั้งหมดที่อยู่ในเวียดนามมาจากที่นี่ทั้งสิ้น
และยังมีจำพวกผักเมืองหนาวด้วย ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งพืชผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของเวียดนาม
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall)
ตั้งอยู่นอกเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร น้ำตกดาตันลาเป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่มาก
แต่มีความสวยงามมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เกื้อหนุนทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด ทะเลสาบพาราไดซ์ (Pasradise Lake หรือ Tuyen Lam Lake)
ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองดาลัดประมาณ 5 กิโลเมตร ทะเลสาบพาราไดซ์
หรือ ตู้เหยีนลัม เป็นสถานที่ที่เหมาะในการมาพักผ่อน สามารถมองเห็นทะเลสาบสีเขียวมรกต
กับทิวสนที่ยืนต้นตระหง่านปกคลุมทุกขุนเขา การนั่งเคเบิ้ลคาร์ สามารถมองเห็นเมืองดาลัดได้ทั้งเมือง เห็นป่าอันงดงาม
ทัวร์เวียดนามใต้ ดาลัด น้ำตกฟงกัว (Pongour Waterfall)
อยู่ห่างจากดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 55 กิโลเมตร น้ำตกฟงกัวจัดเป็นน้ำตกที่สวยงาสมที่สุดในเมืองดาลัด
เนื่องจากสายน้ำที่ตกจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร และกว้างกว่า 100 เมตร
ซึ่งมีสายน้ำไหลลงมาจากหน้าผามหาศาลในช่วงฤดูฝน ส่วนในฤดูหนาวน้ำก็จะขาวใส
หลังฝนตกใหม่ๆ สายน้ำจะนำตะกอนดินมาด้วยทำให้น้ำสีขุ่นบ้าง
ทัวร์เวียดนามใต้ ทะเลทรายมุยเน่
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้รับรองได้เลยว่าจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับทะเลทราย
เพราะภูเขาทรายที่หมุยแหนหรือที่หลายคนคุ้นเคยกับสำเนียง "มุยเน่" นั้น มีขนาดใหญ่และอยู่ติดกับชายทะเล
จึงมีแดดและลมที่แรงมากทีเดียว ที่นี่มีเนินทรายอยู่ 2 แห่ง คือ ภูเขาทรายขาวและภูเขาทรายแดง
ซึ่งภูเขาทรายขาวนั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Bau Trang และมีร้านอาหารขนาดเล็กเปิดบริการสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
สำหรับภูเขาทรายแดงแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า แต่เป็นที่นิยมมากกว่าในสายตาของช่างภาพ
เนื่องจากสีทรายมีสีแดงเข้ม ถ่ายรูปออกมาแล้วสีสวยกว่าที่ภูเขาทรายขาว
ส่วนกิจกรรมยอดฮิต คือ การเล่นกระดานเลื่อนบนเนินทรายสูงลงมาด้านล่าง
ซึ่งอุปกรณ์สำหรับเล่นนั้นสามารถหาเช่าได้จากร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ภูเขาทราย
ต่อมาขอแนะนำให้คุณมุ่งหน้ายัง "หาดมุยเน่" (Mui Ne Beach)
จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวทีสำคัญของเมืองฟานเถียต
ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนมักเป็นทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งมากที่สุดก็คงจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ซึ่งร้านอาหารและรีสอร์ทหลายแห่งก็มักมีชาวรัสเซียเป็นเจ้าของอีกด้วย
แน่นอนว่ามาถึงมุยเน่ก็ต้องไม่พลาดไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของมุเน่
นั่นคือ การไปชม "เนินทรายมุยเน่" (Sand Dunes of Mui Ne)
หรือทะเลทรายซาฮาราแห่งมุยเน่ โดยเนินทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก
ทัวร์เวียดนามใต้ หาดมุยเน
โดยไฮไลท์ที่สำคัญของเนินทรายมุยเน่ก็คงจะเป็นสีของทราย ซึ่งมี 2 สี คือ สีขาวและสีแดง
โดยบริเวณทรายสีแดงนั้นเป็นสถานที่ที่นิยมมากสำหรับการถ่ายภาพ ส่วนบริเวณทรายสีขาวนั้นมีขนาดเล็กกว่ามาก
ทัวร์เวียดนามใต้ ปราสทจาม
หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม "ปริ้นซ์ คาสเซิล หรือ ปราสาท Poshanu" (Prince's Castle หรือ Poshanu Towers) เป็นปราสาทเก่าแก่ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในร่องรอยทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักรจามปาคาดว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 8
โดยปราสาทจาม ตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นวิวเมืองฟานเถียต ประกอบไปด้วยเจดีย์และสุสาน
ซึ่งจากบริเวณภูเขานั้นถือว่าเป็นที่มีมุมมองที่ดีสำหรับการชมวิวเมืองและชนบทโดยรอบอีกด้วย
ทัวร์เวียดนามใต้ ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน "ภูเขาตาคู" (Takou Mountain)
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่ามีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่าที่สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมในความงดามของภูเขา
หรือใช้เรือแจวผ่านป่าฝนเขตร้อนที่สวยงาม ชมนกและสัตว์ป่าที่มีมากมายในบริเวณนี้
ทัวร์เวียดนามใต้ พระพุทธรูปปางไสยาสน์สีขาว
ควรไม่พลาดไปชม พระพุทธรูปปางไสยาสน์สีขาว ที่มีความยาวประมาณ 49 เมตร
และมีความสูงจากฐานประมาณ 6 เมตร โดยพระพุทธรูปองค์นี้ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามอีกด้วย
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ พิพิธภัณฑ์ปลาวาฬ
สุดท้ายไม่พลาดไปเยือน "วัดวาน ถุย ตู และพิพิธภัณฑ์ปลาวาฬ" (Van Thuy Tu Temple and Whale Museum)
โดยวัดนั้นถูกสร้างขึ้นในปี 1762 ภายในวัดมีการเก็บรักษาโครงกระดูกของปลาวาฬ ที่มีความยาวประมาณ 22 เมตร
ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากพอสมควร
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ เมืองฟานเถียต (Phan Thiet)
อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามใต้ที่มีชื่อเสียง และยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan)
อีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทิวทัศน์และหาดทรายที่สวยงาม โดยจังหวัดบิ่ญถ่วนนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม
และอยู่จากโฮจิมินห์ซิตี้ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 200 กิโลเมตร
เมืองฟานเถียต เป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งรีสอร์ท" (the resort capital)
ซึ่งปัจจุบันเมืองฟานเถียตได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
และยังเป็นสถานที่พักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องจากเป็นเมืองท่าเรือประมงที่เงียบสงบและมีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง
สำหรับการท่องเที่ยวเวียดนามใต้ในเมืองฟานเถียตนั้น จุดท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปชม "หอคอยน้ำฟานเถียต" (Phan Thiet Water Tower)
สัญลักษณ์ของฟานเถียต ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาตี ( Ca Ty River) ซึ่งในยามค่ำคืนหอคอยน้ำแห่งนี้ได้สร้างความโรแมนติกให้กับตัวเมืองฟานเถียตมากกว่าสิ่งอื่นใด
หอคอยน้ำฟานเถียต มีความสูงประมาณ 32 เมตร ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1928 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1934
ได้รับการออกแบบโดยเจ้าสุภานุวงศ์ (Prince Suphanouvong) ของประเทศลาว ซึ่งเป็นหัวหน้าวิศวกรของรัฐบาลเวียดนาม
จากนั้นขอแนะนำให้คุณไปสัมผัสวิถีของชาวประมงกันที่ "ฟานเถียต ฮาร์เบอร์" (Phan Thiet Harbor)
อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่แพ้ที่อื่นๆ โดยเรือนั้นตั้งอยู่บริเวณอยู่ที่ปากแม่น้ำคาตี เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าเรือประมงนำหลายร้อยลำ นับว่าเป็นจุดนัดพบที่สำคัญของเหล่าช่างภาพที่ต้องการเก็บภาพอันงดงามเหล่าเรือประมงที่มีมากมายสุดลูกหูลูกตา
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ เมืองหมีเทอ(My Tho) จังหวัดเตี่ยนยาง(Tien Giang)
ข้อมูลท่องเที่ยวเวียดนามใต้ จังหวัดเตียงยาง(Tien Giang) จังหวัดเตียงยาง(Tien Giang)
เป็นจังหวัดชายฝั่งทะเลสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง , เวียดนามตอนใต้ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดหวิงลอง(Vinh Long)
ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดด่งทัป(Dong Thap) ทจังหวัดภาคใต้ติดจังหวัดเบ๊นแตร(Ben Tre)
จังหวัดเตียงยาง(Tien Giang) มีพื้นที่ติดทะเลทางด้านตะวันออก บริเวณที่แม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงไหลออกทะเลจีนใต้
เตียงยาง(Tien Giang) เป็นจังหวัดหนึ่งของเวียดนามใต้ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโขงทางด้านตอนใต้ของจังหวัด มีความยาว 120 กิโลเมตร ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่ดีเยี่ยม ทำให้จังหวัดนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของลุ่มแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่ขนส่งความสำคัญยิ่งให
เมืองหลวงของจังหวัดเตียงยาง(Tien Giang) คือเมืองหมีเทอ (My Tho) เป็นเมืองท่องเทียวทางผ่านต่อไปยังเกิ่นเทอ (Can Tho)
มีการสร้างสะพานแขวนข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมเวียดตามใต้เข้าด้วยกัน สะพานแขวนนี้เชื่อมจังหวัดเตียงยาง (Tien Giang) กับจังหวัดเบ๊นแตร (BEN TRE)
มองจากตัวเมืองหมีเทอ (My Tho) ไปทางสะพานแขวน ช่วงอาทิตย์ตกดินสวยงามมาก อาทิตย์ตะตกผ่านสะพานแขวน mr.hotsia ประทับใจอย่างมาก
เมืองหมีเทอ (My Tho) มีอาหารอร่อยที่ขึ้นชื่อคือหมี่หมีเทอ เนื่องจากเมืองหมีเทอ (My Tho)
เป็นที่อยู่ของชาวจีนไต้หวันทำให้มีอาหารบะหมี่อร่อยในเมืองนี้ ผมลองชิมแล้วอร่อยครับ บะหมี่แห้งทำได้อร่อย
ส่วนอาหารอื่นๆของเมืองนี้เขานิยมกินข้าวโพดผัด แล้วก็ที่เห็นบ่อยคือลูกชิ้นทอดที่ตลาดริมแม่น้ำโขง
ซึ่งเป็นโซนที่ชาวหมีเทอจะต้องมากินกันกลางคืน หากไปนั่งกินจะมีรถคาราโอเกะมอเตอร์ไซค์เสียงดีๆมาร้องให้ฟัง ขอเพลงได้ด้วย
ถ้าพูดถึง แม่น้ำโขง ส่วนใหญ่มักคิดถึงประเทศลาวมาเป็นอันดับแรก
แต่หากเอ่ยว่า "ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง" หรือ Mekong Delta ล่ะ คุณจะนึกถึงที่ไหน
ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) เป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อยู่ทางตะวันตกของประเทศเวียดนาม โดยส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นจะขึ้นกับแต่ละฤดู เพราะปริมาณน้ำไม่เท่ากัน
น้ำที่ไหลมาในบริเวณนี้จะพัดพาเอาตะกอนมาตกสะสมมาเป็นเวลา 6,000 ปีแล้ว จนในปัจจุบันมีรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่กินเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง
จากการศึกษาของนักชีววิทยาพบว่า บริเวณนี้เป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กว่า 10,000 สายพันธุ์
จึงทำให้บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนี้มีความน่าสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยา และชีววิทยาของพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในปัจจุบัน กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองหมีทอ (My Tho)
ในจังหวัดเตียนซาง (Tien Giang) ประเทศเวียดนาม ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงใหลบรรยากาศการล่องเรือไปตามลำน้ำ
กับสองฝากฝั่งที่ยังคงอุมดมสมบูรณ์ไปด้วยความเขียวชอุ่มของพันธุ์ไม้ โดยฝีพายท้องถิ่นที่แต่งตัวสไตล์เวียดนามแท้ ใส่หมวกน๊อนล้า (Non La)
ย้ำเสน่ห์อย่างญวน
และแน่นอนว่าอุตส่าห์มาล่องลำน้ำ ณ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กว่า 10,000 สายพันธุ์
จะให้มานั่งเปิบส้มตำ น้ำตก ซกเล็ก ก็ใช่เรื่อง....เนื่องจากมีหนึ่งเมนูเด็ดขึ้นชื่อ ที่แทบทุกร้านอาหารในหมีทอต้องมี นั่นก็คือ "ปลาหูช้างทอด"
ทัวร์เวียดนามใต้ แนะนำ ปลาหูช้าง (Elephant Ear Fish)
เป็นปลาที่พบได้มากที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแห่งนี้ ตัวใหญ่ มีความยาวประมาณ 30-40 ซม.
(แหม...ถ้าจ้องหน้าตอนน้องปลาหูช้างยังลมหายใจอยู่ ดูๆไปมันก็น่ารักดี มองตาแล้วไม่กล้ากินกันเลยล่ะ)
แต่ทว่า...เมื่อหมักเครื่องปรุงสูตรเฉพาะ ทอดในน้ำมันร้อนกำลังดีจนเหลืองสุก จัดใส่จานที่ประดับผักเครื่องเคียง
ตอนทานจิ้มกับน้ำจิ้มรสเด็ด....กรอบนอก นุ่มใน ทำให้ลืมดวงตากลมใสของเจ้าหูช้างไปโดยพลัน -
เมืองหมีทอ) กับเบ๊นแจ ซึ่งอยู่ตอนใต้ของ HCMC นั่งรถมาเกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองมาเบ๊นแจ
ซึ่งอยู่ติดกับเมืองหมีทอ โดยมีแม่น้ำเตี่ยน ขั้นกลาง แม่น้ำโขงถูกแยกเป็นสองสายในกัมพูชา
และไหลเข้าเวียดนามบริเวณทางตอนใต้ของประเทศ โดยแม่น้ำเตี่ยน แยกเป็นสายลงทะเล 5 จุด
ส่วนแม่น้ำเห่อว แยกลงทะเล 2 จุด หากดูจากแผนที่จะเห็นว่าทางใต้มีแม่น้ำหลายสายไหลลงทะเล
จึงทำให้คนเวียดนามเรียกแม่น้ำโขงว่า “ซงกู๋ลอง” ซึ่งแปลว่าแม่น้ำเก้ามังกร
โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงถือได้ว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ดังนั้นในช่วงที่ฝรั่งเศสต้องการที่จะเข้ายึดครองเวียดนาม
จึงมุ่งเข้ามาที่ทางตอนใต้ของประเทศก่อนเพราะหากยึดทางตอนใต้ได้ก็สามารถยึดครองได้หมดทั้งประเทศ
ลงจากเรือแล้วก็เดินผ่านสวนครับ มาชมสาธิตการทำข้าวเกรียบ คราวนี้ล่องเรือเข้าไปในคลองซึ่งสองข้างทางเป็นต้นจากครับ
นั่งนานกลัวหลับครับ ต้องให้เดินออกกำลังกันบ้างดูตัวอย่างการแปรรูปจากมะพร้าว โดยอาคารหลังนี้ทำจากต้นมะพร้าวทั้งหลัง
หลังคาก็ทำจากใบมะพร้าวครับ นั่งพักชิมผลไม้กันก่อน (รวมอยู่ในค่าทัวร์นะครับ)
มีบทเพลงพื้นเมืองขับกล่อมระหว่างชิมผลไม้ด้วย หลังจากนั้นก็มาขึ้นรถม้าเที่ยวกัน
มาดูสาธิตการเลี้ยงผึ้งกัน ไกด์บอกว่าผึ้งเวียดนามใจดีคนมาจับได้ไม่เป็นไร
แต่บังเอิญมีฝรั่งไปจับแล้วถูกผึ้งต่อย สงสัยวันนี้ผึ้งจะอารมณ์เสียเพราะไม่ได้โอทีในวันหยุด
จิบน้ำผึ้งผสมส้มจี๊ดกันดีกว่า หลังจากนั้นก็มานั่งเรือแจวกันครับ แล้วต่อด้วยการไปชมโรงงานทำขนมจากมะพร้าว
แล้วเรือก็กลับมาส่งที่ท่าเรือครับ จะเห็นสะพานนี้อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อเมืองขยายตัวมาแล้ววิถีชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไปทางไหน
หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับไป HCMC โดยรวมแล้วถือว่าคุ้มครับกับค่าทัวร์ 160,000 ด่ง(320 บาท)
ซึ่งรวมทุกอย่างแล้ว ได้มาเที่ยวแบบกึ่งๆ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร(Agrotourism)
แต่ว่าตอนถ่ายรูปต้องให้ติดธงชาติเวียดนามด้วยเพราะเดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าไปเที่ยวแถวแม่กลองหรืออัมพวามา |