หากท่านสนใจไปหลวงพระบาง แบบเฉพาะพวกของตัวเอง
สามารถกำหนดวันเดินทางที่ตัวเองอยากจะไปหลวงพระบางได้
กรุ๊ปหลวงพระบาง ทางเครื่องบิน น่าจะมีสัก 20 คน จะได้ราคาถูกที่สุด
หรือหากมีน้อยกว่านี้ เช่น 6 คน 8 คน ก็จัดให้ได้ ราคาค่อนข้างสูงกว่า ที่กล่าวข้างต้น
กรณีไปหลวงพระบางทางรถ น่าจะมีสัก 40 คน ใน 1 รถบัส ราคาจะถูกที่สุด
รองลงมา ก็ สัก 8-12 คน ใน 1 รถตู้ ราคาจะไม่แพง
ติดต่อ พี่ปอง สนใจจองได้เลย
...... คลิก
|
|
หลวงพระบางเมืองสงบงามท่ามกลางขุนเขารายล้อม
|
|
|
ได้มาถึงถิ่น
ดินแดนเขาเล่าลือนาม
โอ้เมืองงดงาม สมเป็นมิ่งขวัญชาวเมือง
โอ้หลวงพระบางดินแดนผู้คนเขากล่าว
งามแท้เดงามหลายแท้เจ้า
สมคำเล่าลือก้องไปไกล...
ท่อนแรกของบทเพลง
หลวงพระบางยุคใหม่ ขับร้องโดย
จันสะไหม
ใพยะสิด
อันที่จริงแล้วบทเพลงที่ขับขานเกี่ยวกับเมืองหลวงพระบางนั้นมีอยู่มากมายหลายเพลง
แต่สำหรับเพลงหลวงพระบางยุคใหม่หัวใจผมขอสารภาพว่าชื่นชอบในชื่อของเพลงนี้มาก
เพราะหลวงพระบางในวันนี้ไม่ใช่แดนยูโธเปียของนักอุดมคติเหมือนเมื่ออดีต
แต่หลวงพระบางในวันนี้คือ เมืองท่องเที่ยวมรดกโลกที่ยังคงน่าเดินทางไปยลในความงาม
โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบในวิถีดั้งเดิมของคนลาวที่ส่วนใหญ่ยังคงบริสุทธิ์
จริงใจ เรียบง่าย ท่ามกลางบรรยากาศเมืองเก่าอันชวนมอง ผสานไปกับวิถีส่วนหนึ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ของเมืองท่องเที่ยวแห่งยุคโลกาภิวัตน์
ที่มี 2 ปัจจัยสำคัญทำให้เมืองหลวงพระบางเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นนั่นก็คือ
นักท่องเที่ยวต่างชาติ และทีวีไทย
!?!
2...
...ได้มาเห็น
บ่อยากจากลา
โอ้งามแท้หนาสายธาราน้ำของ น้ำคาน ผู้เฒ่าผู้นาง ยอดพูสีบ่มีไสปาน
งามวัดวาอาราม
หลวงพระบางเจ้างามแท้หนอ...ท่อนสองของ
บทเพลง หลวงพระบางยุคใหม่
|
|
ตักบาตรข้าวเหนียววิถีอันงดงามของคนเมืองหลวงพระบาง |
|
|
|
|
รักแรกพบ
เป็นอาการที่เกิดทันทีหลังจากได้เห็นเมืองหลวงพระบางครั้งแรก
ครั้นพอผมได้มีโอกาสท่องเมืองเล็กๆแห่งนี้ อารมณ์
"รักซึมลึก"
จนเกิดอาการ...ได้มาเห็น
บ่อยากจากลา...ดังในบทเพลงหลวงพระบางยุคใหม่ก็ได้เข้ายึดกุมหัวใจผมทันที
เพราะว่าเมืองเล็กๆเมืองนี้มีสีสันและบรรยากาศอันเปี่ยมเสน่ห์ให้ชวนสัมผัสอยู่ทั่วไป เริ่มตั้งแต่เช้ามืดไปจวบจนถึงค่ำมืด
โดยวิถียามเช้าของชาวหลวงพระบางที่ยังคงงดงามมีเอกลักษณ์และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ก็เห็นจะไม่มีอะไรเกินการตักบาตรข้าวเหนียว
ที่ในทุกๆเช้าของแต่ละวัน
ชาวหลวงพระบางผู้แนบแน่นในพระพุทธศาสนาจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมข้าวของไว้สำหรับตักบาตรข้าวเหนียว หลังจากนั้นพอฟ้าเริ่มสาง เสียงตุ๊มๆๆ..ของ
กะลอ(เครื่องเคาะของลาวมีลักษณะคล้ายกลอง)ดังขึ้นจากหลายๆวัด
บรรดาญาติโยมต่างก็จะหอบหิ้วข้าวของมานั่งอย่างสงบรอพระออกบิณฑบาต
ซึ่งหากเป็นวันพระจะมีเหล่าฆราวาสมารอตักบาตรข้าวเหนียวเป็นจำนวนมาก
แต่หากเป็นวันปกติก็จะมีอยู่พอประมาณ พอสิ้นเสียงกะลอได้ไม่นาน
เหล่าพระสงฆ์นับร้อยรูปก็จะเดินเรียงแถวยาวเหยียดมาให้ญาติโยมได้ใส่บาตรกันจนถ้วนทั่ว ภาพเหล่านี้คือวิถีปกติของชาวหลวงพระบาง
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่
การตักบาตรข้าวเหนียวคือภาพอันชวนตื่นตาตื่นใจ
เป็นไฮไลท์ของการท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ด้วยเหตุนี้เมื่ออุปสงค์การตักบาตรข้าวเหนียวของนักท่องเที่ยวมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ชาวลาวหลายๆคนปิ๊งไอเดียนำข้าวเหนียวใส่กะติ๊บออกมาเร่ขายให้นักท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการตักบาตรข้าวเหนียว การตักบาตรข้าวเหนียวของหลวงพระบางยุคใหม่ในวันนี้
จึงมีการผสมผสานกันระหว่าง ภาพพระ-เณรที่ออกบิณฑบาตเป็นแถวยาวเหยียด
ภาพญาติโยมชาวหลวงพระบางในชุดพื้นเมืองนั่งใส่บาตรอย่างนอบน้อมแต่ว่องไวในการจกข้าวเหนียวลงบาตร
ภาพนักท่องเที่ยวร่วมตักบาตรข้าวเหนียวด้วยความศรัทธาผสมความตื่นเต้นและอยากลอง
ภาพนักท่องเที่ยวมาตั้งกล้องรอบันทึกภาพตักบาตรข้าวเหนียว
และภาพแม่ค้าหาบกะติ๊บข้าวเหนียวเร่ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่นับวันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ |
|
|
ตลาดเช้าสีสันแห่งวิถีของชาวหลวงพระบาง |
|
|
|
ครั้นการตักบาตรข้าวเหนียวพ้นผ่านไป วิถียามเช้าของชาวหลวงพระบางก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มความคึกคักขึ้น
ร้านรวงต่างๆเริ่มทยอยกันเปิด ร้านข้าวเปียก
ข้าวปุ้น เฝอ ที่เป็นแผงลอยเล็กๆมีชาวลาวเวียนเข้า-ออกมานั่งกินกันอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสภากาแฟลาวก็จัดว่ามีการพูดคุยที่คึกคักไม่แพ้กัน แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยกันในเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
ไม่ใช่การพูดคุยในประเด็นทางการเมืองอย่างสภากาแฟส่วนใหญ่ในเมืองไทย
ในขณะที่ร้านกาแฟร่วมสมัยส่วนใหญ่จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปนั่งทอดอารมณ์จิบกาแฟยามเช้าดูวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางอยู่ทั่วไป
สำหรับร้านกาแฟยามเช้าอันโด่งดังของหลวงพระบางในยุคนี้คงจะไม่มีร้านไหนโดดเด่นเกินร้าน
ประซานิยม
ร้านกาแฟเล็กๆใต้ต้นมะม่วงตรงริมถนนเลียบโขงเยื้องกับวัดโพนชัย
ที่มีกาแฟลาวปากซองรสนุ่มละมุนหอมกรุ่นให้ดื่มยามเช้า ซึ่งแก้ง่วงและแก้อาการแฮงก์ได้ดีทีเดียว
ส่วนบริเวณใกล้ๆกันนั้นเป็น
ตลาดเช้า ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ
ซึ่งหากเดินตรงไปจากสี่แยกกลางเมืองที่มีที่ทำการไปรษณีย์อยู่ตรงหัวมุมถนน
เดินไปสักพักก็จะถึงยังตลาดเช้า ที่ในทุกๆเช้าตลาดแห่งนี้จะมีพ่อค้า-แม่ค้านำสินค้าพื้นเมือง
พืชผลทางการเกษตร และอาหารพื้นบ้าน มาวางขายกันทั่วไป ในขณะที่ชาวบ้านแถวนั้นต่างก็ออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคึกคัก
นับเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยวิถีของชาวหลวงพระบางโดยแท้จริง
พอถึงยามสายที่แสงแดดเริ่มแรงขึ้น ความคึกคักในเมืองนี้ดูเหมือนจะจางหายลงไปมาก
ในขณะที่ชาวหลวงพระบางใช้ชีวิตช่วงสายไปจนถึงบ่ายอย่างเนิบนาบ
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วช่วงเวลานี้คือเวลาทองของการออกท่องใจเมืองหลวงพระบาง
โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมตั้งต้นที่
สี่แยกกลางเมืองจากนั้นก็ตระเวนเที่ยวไปบนถนนสายหลักกลางเมือง(ถ.สีสะหว่างวง)
ที่หากใครใจไม่แข็งพอก็อาจจะต้องถูกดูดทรัพย์จากตลาดม้ง ที่อยู่ทางขวามือ ซึ่งเป็นตลาดขายของที่ระลึกของชาวม้งหรือลาวสูงที่ส่วนใหญ่เป็นพวกผ้าทอ
ผ้าซิ่น ผ้าพันคอ เสื้อผ้า ย่าม กระเป๋า ที่หากใครมีความสามารถในการต่อรองราคาก็สามารถงัดวิทยายุทธ์มาใช้ที่ตลาดม้งได้อย่างเต็มที่ |
|
พระธาตุจอมพูสี
ใจเมืองแห่งหลวงพะบาง |
|
|
|
|
และถึงแม้ว่าถนนท่องใจกลางเมืองหลวงพระบาง จะเป็นถนนสายสั้นๆแต่ว่าก็มีเต็มไปด้วย
อาคารเก่าแบบฝรั่งเศส แบบจีน วังเก่า ห้องแถวและบ้านเรือนแบบลาวให้ชมกันอย่างเต็มตา
2 ฟากฝั่งถนน อาคารบ้านเรือนหลายๆหลังแปรเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร
ร้านกาแฟ โรงแรม และร้านขายของที่ระลึกตามวงจรของโลกแห่งการท่องเที่ยวยุคโลกาภิวัตน์
ส่วนที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้อย่างเด่นชัดก็คือบรรดาวัดวาอารามต่างๆที่แทรกในใจกลางเมืองนี้มีวัดมากถึง
26 วัด
สำหรับวัดและอาคารบ้านเรือนที่เด่นๆก็มี วัดเชียงทอง วัดวิชุน
วัดใหม่สุวันนะพูมาราม หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง(พระราชวังหลวงเดิม)
บ้านเจ็ก เฮือนมรดกเชียงม่วน (เรื่องราวของสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจในเมืองหลวงพระบางจะกล่าวถึงในตอนต่อไป)
นอกจากสถาปัตยกรรมที่ชวนมองแล้ว เมืองหลวงพระบางนั้นมีใจเมืองหรือหลักเมืองอยู่ที่
พระธาตุจอมพูสี บนยอดพูสี ที่ตามตำนานเล่าว่า
มีฤาษีสองพี่น้องคือ คืออามะละและโยทิกะ ได้เลือกพูสีเป็นใจเมืองเนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสม
ปัจจุบันพูสีนับเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวอันสำคัญของเมืองหลวงพระบางที่ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นยอดพูสีกันไม่ได้ขาด
ยอดพูสีมีทางขึ้น 2 ทาง แต่ว่าคนส่วนใหญ่นิยมขึ้นพูสีโดยใช้เส้นทางริมถนนกลางเมือง
แล้วเดินขึ้นไปบนบันได 328 ขั้น ที่ระหว่างทางร่มรื่นไปด้วยซุ้มต้นจำปา(ลั่นทมหรือลีลาวดี)ดอกไม้ประจำชาติลาว
ซึ่งหากใครมาช่วงจำปาออกดอกก็จะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมเย็นของดอกจำปาอบอวลทั่วไป
พอถึงบนยอดพูสี ข้างบนจะมีพระธาตุจอมพูสี ที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ.
2347 ตั้งโดดเด่นเป็นสีทอง ยิ่งยามที่ต้องกับแสงแดดอ่อนๆสีทองในยามเย็นนั้นองค์พระธาตุจอมพูสีจะต้องแสงดูเหลืองทองอร่ามงามตานัก |
|
|
พระราชวังหลวงเดิมสร้างอย่างสง่างามริมฝั่งแม่น้ำโขง(มองจากยอดพูสีฝั่งแม่น้ำโขง)
|
|
|
|
ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของพูสีก็คือในช่วงวันสังขานของเทศกาลสงกรานต์
ชาวหลวงพระบางจะพร้อมใจกันร่วมตักบาตรพูสีด้วยการเดินขึ้นพูสี
นำอาหารไปวางไว้ตามทางเดินและโยนขึ้นไปยังองค์พระธาตุเพื่อเป็นการทำบุญทำทานรับวันปีใหม่ลาว ส่วนในวันปกติยอดพูสีคือจุดชมวิวเมืองหลวงพระบางชั้นยอด
ที่หากมองไปทางฝั่งแม่น้ำโขงก็จะเห็นพระราชวังหลวงเดิมตั้งเด่นเป็นสง่าริมฝั่งแม่น้ำโขง
ส่วนหากมองไปในด้านตรงข้ามก็จะเห็นสายน้ำคานไหลเลี้ยวเคียงคู่กับอาคารบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอย่างหลวมๆท่ามกลางขุนเขารายล้อม และที่น่าสนใจก็คือหลวงพระบางในวันนี้ยังไม่มีตึกสูงขึ้นโด่เด่มาทำลายทัศนียภาพของเมืองอันสงบงาม... 3... ...เจ้าจงก้าวขึ้นสมคำเขากล่าวลือกัน
ชาวเมืองสุขสรรค์สร้างสาทำมาหากิน
เจ้าจงก้าวไปตามทางสว่างรู้แจ้ง
หลวงพระบางประสาปั้นแต่งจงใสแจ้งเมืองส่องแสง...
ท่อนจบของบทเพลงหลวงพระบางยุคใหม่ ท่ามกลางกระแสธารแห่งธุรกิจท่องเที่ยวในยุคโลกาภิวัตน์ที่รุกเร้าหนักขึ้นเรื่อยๆ
หลวงพระบางในวันนี้ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีล้านช้างดั้งเดิมที่
บริสุทธิ์ จริงใจ
เรียบง่าย แต่หลวงพระบางในวันหน้าจะเป็นเช่นไรนั้น??? ยากที่จะตอบได้ สำหรับผมในวันนี้จึงพยายามเก็บความทรงจำอันสวยงามของเมืองงามนาม
หลวงพระบาง
ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้... |
หลวงพระบาง
ตั้งอยู่ทางเหนือของสปป.ลาว อดีตเคยเป็นนครหลวงของอาณาจักรลานช้าง
ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี
พ.ศ. 2538
ใช้เงินกีบเป็นหลักในการซื้อขายโดย 1 บาท ประมาณ 250 กีบ
แต่สามารถใช้เงินบาทได้
คนไทยสามารถเข้าหลวงพระบางได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า
|