หลวงพระบาง ความเป็นมากับสถานที่สำคัญ    ดูรายละเอียดเลื่อนภาพลง

 

 

                

   

                                       

 

  สนใจจะไป โทร 09-9246304, 02-8867018 / พี่ปอง   จอง......  คลิก

 

วัดเชียงทอง อันงดงามที่เป็นดังอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว(ภาพ:เสรี ตันศรีสวัสดิ์)

              หลวงพระบาง อดีตเมืองหลวงเก่าแก่ของลาว เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม อุดมไปด้วยวัดวาอารามเก่าแก่ และบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในสไตล์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงหรือที่คนลาวเรียกกันว่า แม่น้ำของ และแม่น้ำคานที่ไหลมาบรรจบกันเกิดเป็นแหลมกลางเมือง ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับ ภูสี ภูเขาหนาดย่อมที่มีพระธาตุจอมสีประดิษฐานอยู่บนยอด ซึ่งคงอยู่มานานหลายร้อยปี
       

       อาคารรูปแบบโคโรเนียลอายุกว่า 100 ปีนั้นในยุคแรกๆถูกใช้เป็นสำนักงานหรือที่คนลาวเรียกกันว่าห้องการ ของหน่วยราชการที่รับผิดชอบการปกครองเมืองและแขวงหลวงพระบาง จุดเด่นของอาคารเหล่านี้ก็คือวิธีการสร้างที่มีการผสมปูนซึ่งใช้ส่วนผสมจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ ได้แก่ น้ำอ้อยและหนังควาย โดยนำมาผสมรวมกัน และมีการดัดแปลงรูปแบบให้มีความเป็นลาวมากขึ้น ด้วยการประดับภาพลาวปูนปั้นตามความเชื่อทางศาสนาไว้บริเวณหน้าจั่ว
       
       องค์การยูเนสโก(UNESCO)ยกย่องให้หลวงพระบางเป็น เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ยังมีลมหายใจ เมื่อเดือนธันวาคม 2538 นับตั้งแต่นั้นนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกต่างมุ่งตรงมา เพียงเพื่อจะสัมผัสความงดงามของเมืองมรดกโลก ที่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นตัวของตัวเองในแบบอาณาจักรล้านช้างเมื่อครั้งอดีต ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมการกิน ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะความบริสุทธิ์ของชาวหลวงพระบาง ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและคงความมีมิตรภาพเหมือนเมื่อครั้งอดีต ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ดึงดูดประการสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก ต่างพยายามหาโอกาสมาเยี่ยมเยือนเมืองแห่งนี้ ที่ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
       
       
ระบบเงินตรา
       สกุลเงินของลาวคือกีบ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา 1 บาทประมาณ 250 กีบ แต่สามารถใช้เงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐได้
       
       
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
     
 วัดเชียงทอง เป็นวัดที่สำคัญ สวยงามและเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุด นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว สร้างขึ้นโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทร์ไม่นานนัก ผนังด้านหลังของพระอุโบสถทำจากกระจกสีตัดต่อกันเป็นรูปต้นทองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เคยมีอยู่ในหลวงพระบาง คล้ายกับต้นโพธิ์ ด้านข้างเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดี จุดเด่นที่น่าในใจอีกจุดของวัดเชียงทองอยู่ที่โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถ ประตูด้านนอกแกะสลักเรื่องราวของรามเกียรติ์ โดยช่างแกะสลักชื่อ เพียตัน ช่างฝีมือดีประจำองค์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา แต่เดิมเป็นการลงรักปิดทองแต่ปัจจุบันบูรณะใหม่ด้วยการทาสีทอง
       
        พระราชวังหลวงพระบาง
สร้างขึ้นปี ค.ศ.1904 ก่อนเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ขึ้นครองราชสมบัติ 1 ปี ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงแบบฝรั่งเศส แต่มีการผสมผสานระหว่างความเป็นฝรั่งเศสและลาว หลังคายอดปราสาทเป็นศิลปะลาวล้านช้าง ที่นี่จึงถูกเปรียบเทียบว่าเป็นลักษณะของ ฝรั่งสวมชฎา เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ประทับอยู่ที่นี่จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์วังเจ้ามหาชีวิตแทน
       
       ภายในประกอบด้วย ห้องฟังธรรม จัดแสดงธรรมาสน์ไม้แกะสลักสกุลช่างหลวงพระบาง และพระพุทธรูปสำริดสกุลช่างลาวโบราณ ช่วงศตวรรษที่ 17-19 ห้องที่สองด้านขวามือเป็น ห้องพิธี หรือ ห้องรับแขก มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวลาวโดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส เมื่อปีพ.ศ.1930 ห้องที่สามเป็น ท้องพระโรง ประดับกระจกหลากสีบนพื้นสีทอง เป็นห้องที่เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาเตรียมไว้เพื่อทำพิธีราชาภิเษก แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงราชบัลลังก์ไม้แกะสลักหุ้มทองและเครื่องสูงทั้ง 5 ได้แก่ จามร รองพระบาท กระบี่หรือพระขรรค์ และพระแสงของ้าว ส่วนมหามงกุฎได้รับการเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยไม่ได้นำมาแสดงไว้รวมกัน ส่วนด้านหลังเป็น ที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต เครื่องใช้ไม้สอยเป็นแบบฝรั่งดูเรียบง่ายไม่หรูหรา เตียงพระบรรทมเป็นไม้สักฝีมือช่างไทยในสยามในสมัยนั้น
       
       ภายนอกอาคารพระราชวังมี หอพระบาง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมสมัยหลังบายน ปางประธานอภัยหรือปางห้ามสมุทร หล่อขึ้นจากทองคำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมี อนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย
       
     
  พูสี ยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง เมื่อขึ้นไปบนยอดสามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ โดยมีบันไดทางขึ้นอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือตรงข้ามพระราชวัง 328 ขั้น ตลอดจนสองข้างทางร่มรื่นไปด้วยต้นจำปาหรือลั่นทม ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติของลาวที่จะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงฤดูร้อน เชื่อกันว่าแต่เดิมบริเวณนี้เป็นเขตป่าศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาเมื่อมีฤาษีขึ้นไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าพูฤาษี หรือพูสีมาจนถึงปัจจุบัน นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า พูสีอาจหมายถึงพูศรี มาจากคำว่าศรีซึ่งเป็นศรีของเมืองหลวงพระบาง ด้านบนเป็นที่ตั้งของพระธาตุจอมสี ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสีเหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตฉัตรสีทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร
       
       บริเวณพูสียังมีสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาอีกหลายแห่ง แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก อาทิ วัดพระธาตุจอมสี วัดถ้ำพูสี วัดป่าแค วัดป่ารวก วัดป่าฝาง วัดป่าแมว เป็นต้น เนื่องจากวัดที่อยู่ในบริเวณนี้เป็นวัดป่ากรรมฐาน จึงไม่มีสถาปัตยกรรมใหญ่ๆ จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 18 ต้นศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มมีการก่อสร้างพุทธสีมา กุฎีหอพระไตร หอไหว้พระด้วย
       
       
วัดใหม่สุวันนะพูมาราม ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่าวัดใหม่ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน สังฆราชองค์สุดท้ายของลาวและยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง ในสมัยเจ้ามหาชีวิตสักรินทรฤทธิ์ จนกระทั่งปี พ.ศ.2437 จึงอัญเชิญไปประดิษฐานในหอพระบาง พระอุโบสถของวัดใหม่นี้มีขนาดใหญ่แตกต่างไปจากวัดอื่นๆ มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้าน ด้านข้าวยาวเกือบติดพื้นดิน ผนังด้านในมีภาพลงรักปิดทองปูนปั้นนูนสูงฝีมือเพียตัน
       
       
วัดวิชุน เจ้าชีวิตชุนราชโปรดฯให้สร้างวัดนี้ขึ้นมาเมื่อปีพ.ศ.1503 โดยอัญเชิญพระบางจากวัดมโนรมย์มาประดิษฐาน เป็นวัดที่มีความแปลกจากวัดอื่นๆในหลวงพระบาง ตรงพระเจดีย์พระปทุม หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ พระธาตุเจดีย์รูปโค้งที่คนลาวเรียกกันว่าพระธาตุหมากโม ตามลักษณะที่คล้ายแตงโมผ่าครึ่ง ที่พระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีโปรดฯให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1514 ช่วงปี ค.ศ.1914 พระธาตุหมากโมได้พังทลายลงมาบางส่วน เจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และชาวหลวงพระบางจึงร่วมกันบูรณะพระธาตุนี้ จากการซ่อมแซมครั้งนั้นได้พบวัตถุมีค่าจำนวนมาก อาทิ พระพุทธรูปทองคำ เงิน และทองสำริด พระพุทธรูปแกะสลักจากแก้วและอัญมณี รวมทั้งวัตถุทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 อีกเป็นจำนวนมาก
       
       ถ้ำติ่ง
เป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งฝั่งตรงข้ามบ้านปากอู ในภูเขาลูกใหญ่ที่ตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำโขง ช่วงที่แม่น้ำอูไหลลงสู่แม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียกกันว่า ผาแอ่น ถ้ำติ่งประกอบด้วยถ้ำ 2 แห่ง ได้แก่ ถ้ำติ่งเทิง(ถ้ำติ่งบน)และถ้ำติ่งลุ่ม(ถ้ำติ่งล่าง)ในสมัยโบราณใช้เป็นที่สักการะบวงสรวงดวงวิญญาณผีฟ้า ผีแถน เทวดา ผาติ่ง แต่เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาแทนที่ถ้ำติ่งจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา ของผู้แก่เฒ่าบอกว่าเจ้ามหาชีวิตแห่งหลวงพระบางต้องไปสักการะพระพุทธรูปในถ้ำ เป็นประเพณีที่ขาดไม่ได้โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่หลังเสร็จงานบุญที่หลวงพระบางแล้วประมาณ 2-3 วัน พระองค์จะนำข้าราชบริพานชั้นผู้ใหญ่ พระสงฆ์ และประชาชนขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธรูปที่ถ้ำติ่งบนก่อน จึงลงมาทำพิธีที่ถ้ำติ่งล่าง ภายในถ้ำมีการค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และ 19จำนวนหลายพันองค์ และมีบางส่วนที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 และ 20 ส่วนใหญ่ทำจากไม้ บางส่วนทำจากหินและโลหะ นอกจากนี้ยังมีการพบพระพุทธรูปที่ทำจากเงินและทองคำบุ แต่ถูกลอกเอาเงินและทองคำออกไปหมด เหลือไว้แต่ดินเผาที่เป็นแกนกลาง
       
       นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วหลวงพระบางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ น้ำตกกวางสี บ้านเจ๊ก บ้านช่างไห บ้านช่างฆ้อง บ้านผานม ฯลฯ